
สรุปหนังสือ 10 เทคนิควิถีผู้ชนะฉบับคนเก่งแบบเป็ด 🐥
“เพราะชีวิตนี้สั้นเกินกว่าจะเก่งแค่ด้านเดียว” เป็นคำโปรยหนังสือที่ทำให้ซิสตัดสินใจหยิบหนังสือ “วิถีผู้ชนะฉบับคนเก่งแบบเป็ด” หรือชื่อภาษาอังกฤษ How to be better at (almost) everything ใส่ตะกร้าจ่ายเงินทันที
สมัยก่อนพ่อแม่ ครูบาอาจารย์มักปลูกฝังให้เราหาด้านที่ถนัดให้เจอ และเก่งด้านใดด้านหนึ่งให้สุดไปเลย นั้นกลายเป็นเรื่องปวดหัวสำหรับใครหลายๆ คนที่มีความสนใจรอบด้าน รวมถึงซิสด้วย
แต่เทรนด์โลกปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้ว “เก่งแบบเป็ด” หรือสำนวนฝรั่งคือ Jack of all trades ไม่ใช่คำดูถูกอีกต่อไป การมีความรู้รอบด้าน เป็นผู้เชี่ยวชาญมากกว่า 1 อย่างกลายเป็นสิ่งจำเป็น คนที่ประสบความสำเร็จในปัจจุบันมักเป็นหลายอย่าง บางคนเป็นทั้งพนักงานเต็มเวลา ขายของออนไลน์ไปด้วย เขียนบล็อก ทำเพจ เทรดหุ้นไปในเวลาเดียวกัน
นี้เป็นหนึ่งในหนังสือพัฒนาตัวเองที่ซิสชอบ How To มากที่สุด เพราะได้ผลจริง ไม่น่าเบื่อ ปลุกไฟทุกครั้งที่กลับมาอ่าน หากคุณจะหาหนังสือเล่มนี้มาอ่าน ขอเตือนว่าโปรดระวังความมั่นของ Pat Flynn! อาจเกิดความหมั่นไส้เป็นบางประโยคแบบซิสได้ แบบโหว มั่นมากโบร! แต่เขามีดีให้มั่นจริงๆ ค่ะ เป็นความหมั่นไส้แบบซิสอยากทำให้ได้บ้างโบร 😂 แพทเป็นทั้งนักธุรกิจ นักเขียน มือกีตาร์ นักปรัชญา นักเทควันโด เทรนเนอร์กล้ามเป็นมัด และยังคงเรียนรู้เรื่องต่างๆ อย่างไม่หยุดพัก
วันนี้ขอสรุปเทคนิค 5 ข้อของการเป็นเป็ดที่แข็งแรง เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ผลจริง
1. โฟกัสทักษะตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
แพทบอกว่าบ่อยครั้งเรามักเผลอเสียเวลาไปกับการเรียนรู้สิ่งที่ไม่ได้มีประโยชน์ต่อเป้าหมายชีวิต ทำให้ซิสนึกถึงที่คุณหมอวัตสันเคยพูดกับโฮล์มส์เรื่องโลกอยู่ในระบบสุริยจักรวาล ความรู้ประถมที่ทุกคนรู้ โลกรู้ แต่อัจฉริยะอย่างโฮล์มส์ไม่รู้ หลังจากได้ฟัง โฮล์มส์ก็บอก ‘โอเค ผมกำลังลบข้อมูลนี้ออกจากสมอง เพราะรู้ไปก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับชีวิตผมน่ะสิ!’
เพื่อไม่ให้เป็นการเปลืองเมม เปลืองเวลา เปลืองแรง เราควรตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า “เป้าหมายชีวิตเราคืออะไร?” เช่น คุณอยากเปิดร้านขนมหวานสไตล์ฝรั่งเศส คุณก็ไม่จำเป็นต้องเรียนวิธีทำข้าวผัด ทอดไก่เกาหลี แต่เอาเวลาไปเรียนทักษะเสริมอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์อย่าง การทำการตลาด การตกแต่งร้าน หรือการโน้มน้าวคน จะทำให้ได้ผลลัพธ์ตามเป้าหมาย
2. เรียนทักษะหลายด้าน และนำมาใช้ร่วมกัน
มีเรื่องมากมายในโลกที่เราอยากเรียนเหลือเกิน แพทแนะนำว่าเราควรเริ่มจดจ่อครั้งละ 1 ทักษะเท่านั้น โดยต้องจัดลำดับความสำคัญว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง รวมถึง “ฝึกทักษะใหม่ให้มาก” และ “ฝึกฝนทักษะเก่าให้น้อย” นี้คือข้อแตกต่างที่ชัดเจนระหว่าง Generalist (เป็ด) กับ Specialist (ผู้เชี่ยวชาญ)
เช่น คุณอาจเปลี่ยนจากเวทเทรนนิ่ง 4 ครั้งต่อสัปดาห์ เหลือแค่ 2 ครั้ง ส่วนเวลาที่เหลือก็เอาไปฝึกฝนทักษะใหม่อย่าง วิ่ง หรือ โยคะ เป็นต้น ควรใช้เวลาไปกับการเรียนทักษะใหม่จนเชี่ยวชาญ 80% ส่วนทักษะเก่าให้เวลาน้อยหน่อย แต่หมั่นฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอเพื่อไม่ให้ลืมจนที่ฝึกมาสูญเปล่า
อีกสิ่งที่สำคัญคือ การรู้จักนำทักษะหลายๆ ด้านที่เรามีมาผสมผสานใช้ร่วมกันให้เกิดประโยชน์ เช่น นำโยคะที่เป็นทักษะใหม่มาใช้ยืดกล้ามเนื้อ บรรเทาอาการปวดหลังจากเวทเทรนนิ่งได้ หรือนำโยคะไปสอนเพื่อนร่วมงานเพื่อบำบัดออฟฟิศซินโดรม
3. เริ่มพัฒนาจากทักษะพื้นฐาน
ทักษะพื้นฐานคือทักษะที่นำมาประยุกต์ใช้ได้กับทุกคน ทุกสถานการณ์ เปิดโอกาสให้คุณปรับตัวเข้ากับอะไรก็ได้ ซึ่งแพทได้รวบรวมทักษะพื้นฐานไว้ 5 สกิลดังนี้
ระเบียบวินัย
เป็นข้อที่ง่ายและยากที่สุด เราต่างรู้ว่าการมีระเบียบวินัยต้องทำยังไง และมันเปลี่ยนชีวิตเราไปในทางที่ดีขึ้นได้ยังไง เช่น กินอาหารตรงเวลา ดีต่อกะเพราะอาหาร, ออกกำลังกาย 3 ครั้งต่อสัปดาห์จะทำให้สุขภาพดี หุ่นดี มั่นใจขึ้น รู้ทั้งรู้แต่ทำไมมันยากเหลือเกิน~
เพราะ mindset ของเราทุกวันนี้คิดว่า “แค่รอดก็พอแล้ว” เอาตัวให้รอดไปวันๆ ทำสิ่งต่างๆ ให้น้อยที่สุดก็พอ จนวันหนึ่งคุณถูก “แรงกระตุ้น” บางอย่างปลุกให้ตื่น รับรู้ถึงความแย่ ด้อยค่าของตัวเอง เสียดายเวลาที่ผ่านมา คนเรามักมีระเบียบวินัยหลังจากผ่านความเจ็บปวดหรือผิดหวัง เช่น คนที่หันมาลดน้ำหนักได้สำเร็จหลังจากถูกแฟนทิ้ง คนที่หันมาเก็บเงินจนมีฐานะมั่นคงหลังจากตกงานกะทันหัน ในทางกลับกันบางคนอาจสร้างระเบียบวินัยได้จากการวาดฝันถึงอนาคตที่สวยงาม เช่น เอารูปนางแบบมาเป็นพื้นหลังมือถือ หรือแปะรูปแผนที่โลกไว้เพื่อเก็บเงินเที่ยวรอบโลกให้สำเร็จ
ไม่ว่าคุณจะใช้วิธีจินตนาการถึงความรู้สึกด้อยค่า หรือคิดถึงอนาคตที่สวยงาม แบบไหนก็ได้ที่เวิร์ค จนเปลี่ยน mindset ให้คุณสร้างระเบียบวินัยในตัวเองได้ก็ดีทั้งนั้น เริ่มจากสร้างนิสัยเล็กๆ น้อยๆ โดยแพทให้ Daily Discipline Check List ไว้ดังนี้
- นอนให้ได้วันละ 7-8 ชั่วโมง (คนทำงานปกติ ควรนอนก่อน 4 ทุ่มและตื่นก่อนตี 5)
- ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน
- นั่งสมาธิอย่างน้อย 10 นาทีต่อวัน
- กินอาหารที่มีโปรตีนในทุกมื้อ
- อาบน้ำเย็น หรือใช้น้ำเย็นราดตัวตอนอาบน้ำใกล้เสร็จ
- เดิน 10,000 ก้าวต่อวัน
- ทำกิจกรรมโดยละเว้นจากสมาร์ทโฟนหรือโทรทัศน์
- จัดเตียง
- ทำเรื่องยากที่สุดและสำคัญที่สุดของวันก่อน
- จดไดอารีสิ่งที่คุณรู้สึกดีในแต่ละวัน
สมาธิ
สมัยเด็กเราต่างถูกฝึกให้ทำสมาธิตามหลักพระพุทธศาสนา ซิสเป็นคนหนึ่งที่ต่อต้านมากเพราะคิดว่ามันไม่ได้ผล และนั่งทีไรจะหลับทุกที แต่ต้องฝืนไว้เพราะครูดูอยู่ 😂เลยเป็นสาเหตุทำให้ต่อต้านมาก พอทำงานแล้วถึงได้รู้ว่า สมาธิเป็นทักษะที่จำเป็นสุดๆ ทุกวันนี้เรามักคิดมาก ฟุ้งซ้านเกินไป และเรื่องที่คิดก็มักจะไม่มีประโยชน์
หนังสือของคนที่ประสบความสำเร็จหลายๆ เล่มก็พูดถึงกิจวัตรประวันหนึ่งที่พวกเขาทำคือ การทำสมาธิ อย่างหนังสือกฏการทำงานของ Google ที่มีจัดคอร์สสอนการเจริญสติ และหนังสือ Into the Magic Shop ของศัลยแพทย์มือหนึ่งที่เติบโตจากสลัม ก็ข้ามผ่านช่วงเวลายากลำบากวัยเด็กมาได้เพราะการทำสมาธิ
การทำสมาธิจะทำให้เราโฟกัสแต่กับเรื่องที่สำคัญได้ดี ฝึกฝนได้ไวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องนั่งขัดสมาธิ คุณจะเดิน นอน นั่งพิงโซฟาสบายๆ ก็ได้ หลักสำคัญคือ กำหนดลมหายใจ หายใจเข้า-หายใจออกลึกๆ เหมือนโยคะ (พยายาม)หยุดคิดฟุ้งซ้าน ซึ่งการท่องบทสวดมนต์ออกมาดังๆ ช่วยได้ จากประสบการณ์ส่วนตัว การท่องบทสวดบาลี สันสกฤตช่วยได้ค่ะ ซิสเคยคิดว่าการพูดสิ่งที่เราไม่รู้ความหมายออกไปเป็นเรื่องไร้สาระมาก แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้มีสมาธิมากขึ้น เราจะไม่คิดฟุ้งซ้านตามที่สิ่งที่พูดออกไป (เพราะไม่รู้ว่าพูดอะไรออกไป)
การใช้เหตุและผล
สิ่งที่ควรระวังคือ เราทุกคนต่างเชื่อว่าตัวเองเป็นคนมีเหตุผล ทั้งที่จริงเราอาจมีอคติมาบดบังเหตุผลที่แท้จริงโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นการเปิดใจกว้าง ฝึกยอมรับผลลัพธ์ที่ไม่ชอบ ทำความเข้าใจจุดยืนของฝั่งตรงข้าม จึงเป็นสิ่งจำเป็นในการฝึกทักษะใช้เหตุและผล
ต่อไปนี้คือสิ่งต้องห้ามสำหรับการมีเหตุผล ได้แก่ ออกนอกทะเล, สรุปนอกเรื่อง, ใช้เหตุผลวิบัติอย่างตายายบอกพระเจ้ามีจริง ดังนั้นพระเจ้ามีอยู่จริง, การอ้างคนหมู่มาก, เหมารวมเอาเอง, โจมตีตัวบุคคล แทนที่จะพูดถึงประเด็นที่โต้แย้งกันอยู่, บังคับให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง, พูดจาวนเวียน, อ้างผู้มีอำนาจ และหุ่นฟาง คือการนำความคิดเห็นของฝ่ายตรงข้ามมาตีความหมายผิดๆ เพื่อหาหลักฐานมาหักล้างได้ง่ายขึ้น
โน้มน้าวผู้คน
การโน้มน้าวผู้คนคือ การค้นหาคนที่เห็นด้วยกับคุณอยู่แล้วและชักชวนให้เขาปฏิบัติตามแนวทางของคุณ โดยต้องสื่อสารสิ่งที่คุณเชื่อมั่นออกไปอย่างมั่นใจ มีเหตุผลอย่างชัดเจน อย่าคิดว่าต้องทำให้ทุกคนหันมารัก หรือเชื่อฟังคุณทุกเรื่อง เพราะไม่งั้นจะวิตกกังวลว่าคนอื่นจะไม่ชอบคุณหากพูดสิ่งที่ตัวเองเชื่อออกไป หากคุณทำตัวก้ำๆ กึ่งๆ ก็จะไม่สามารถโน้มน้าวใครได้เลย แม้แต่ตัวเอง
ตามทฤษฎีของ Howard Stern กล่าวว่าคนที่ยืดหยัดในความเชื่อตัวเอง จะสามารถโน้มน้าวคนกลุ่มหนึ่งได้อย่างแน่นอน “ถ้าคุณไม่รักเขา คุณก็เกลียดเขา แต่แทบจะไม่มีใครเมินเฉยเขาได้เลย”
ความเชื่อ
หลายคนอาจงงเหมือนซิสในทีแรกว่าความเชื่อเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แล้วมันเป็นทักษะด้วยหรอ? คำตอบคือ ใช่ เพราะมันต้องอาศัยการฝึกฝนเช่นกัน หากคุณห่างเหินจากมันไปนานๆ คุณก็จะหมดศรัทธา แล้วความเชื่อเป็นทักษะพื้นฐานที่ทุกคนควรมีได้อย่างไร?
ความเชื่อเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ นำพาความพยายามและเป้าหมายของคุณไปอยู่ในเส้นทางที่จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายและเปลี่ยนแปลงโลกได้จริงๆ
4. ความลับของคนเก่งกว้างคือ “การปรับตัว”
คุณสามารถนำทักษะหลายด้านที่มีอยู่มาใช้ร่วมกันเพื่อสร้างสิ่งมีค่าที่เปลี่ยนไปตามเวลาและสถานการณ์ได้ ยิ่งโลกสมัยนี้ปรับตัวไปไวมาก มีเทรนด์ใหม่ เทคโนโลยีใหม่ สิ่งที่ให้เรียนใหม่เกิดขึ้นทุกวัน คนที่ไม่แข็งแรงพอและไม่ยอมปรับตัวอีก จะลงเอยด้วยการไม่สามารถดูแลตัวเองได้
วิธีการปรับตัวที่ง่ายที่สุดคือ “จงดูคนอื่นเป็นตัวอย่าง” ศึกษาข้อมูลคนที่ประสบความสำเร็จในด้านที่เราอยากเป็นอย่างมีเหตุผล อย่างตอนที่แพทเริ่มทำธุรกิจออกกำลังกายใหม่ๆ เขาติดใจบทความออกกำลังกายของนักเขียนคนหนึ่งมากจนกลายเป็นแฟน หลังจากติดตามอยู่นานถึงได้รู้ว่านักเขียนคนนี้เรียนประวัติศาสตร์มา บทความของเขาจึงสอดแทรกไปด้วยข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ แพทจึงหันมาศึกษาประวัติศาสตร์มากขึ้น เมื่อรู้ว่าคนเราสนใจอ่านประวัติศาสตร์
5. ลงมือทำมากกว่าอ่าน
จงใช้เวลากับทฤษฎีพอประมาณ ใช้เวลาส่วนมากไปกับการลงมือทำ ช่วงแรกที่แพทออกกำลังกายใหม่ๆ เขาตื่นเต้นไปกับข้อมูลมหาศาลในอินเทอร์เน็ต หมดเวลาไปกับการอ่านทฤษฎีจนไปออกกำลังกายจริงๆ แค่แปปเดียว นั้นทำให้ร่างกายพัฒนาได้ช้ากว่าที่ควรเป็น
อีกทักษะที่ต้องมีควบคู่คือ ความกล้า บางคนอาจศึกษาเรื่องกองทุน เทรดหุ้นมาเป็นปีๆ แล้ว แต่ยังไม่เคยลองลงทุนจริงๆ สักที สุดท้ายแล้วต่อให้เรารู้ทฤษฎีลึกซึ้งขนาดไหน มันก็ไร้ประโยชน์และเสียเวลาเปล่าๆ หากเราไม่ได้นำมันมาใช้จริง
จงกำหนดเส้นตายให้ตัวเอง อย่าให้เวลานานเกินไปจนเราฝึกแบบเอื่อยเฉื่อย เช่น เราจะศึกษาทฤษฎี 1 วันต่อสัปดาห์ ลงมือทำ 3 วันต่อสัปดาห์ เป็นต้น

