สรุปหนังสือ I AM BTS

สรุปหนังสือ I AM BTS : อัตชีวประวัติของวีรบุรุษผู้เปลี่ยนโลกผ่านเสียงเพลง

0 Shares
0
0
0
0
0

#ReadersGarden เล่มที่ 45

นี่เป็นหนังสืออีกเล่มที่อาร์มี่ไม่ควรพลาด!

I AM BTS เป็นคอมมิคบอกเล่าประวัติของวงเคป็อป BTS ในช่วงเวลาเกือบ 10 ปีนับตั้งแต่หนุ่มๆ ทั้งเจ็ดยังไม่ได้เข้าสังกัด ช่วงเวลาเป็นเด็กฝึกหัด เดบิวต์วง สร้างแฟนคลับทั้งในและต่างประเทศ จนกลายเป็นวงบอยแบนด์ระดับโลกและถูกยกย่องจากสื่ออังกฤษอย่าง BBC ว่าเป็น “The Beatles แห่งศตวรรษที่ 21” 

“นี่คืออัตชีวประวัติของวีรบุรุษ” คือส่วนหนึ่งจากคำนิยมของหนังสือชุด I AM นี้ที่ซิสชอบมากๆ ‘วีรบุรุษ’ ในปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องสวมผ้าคลุม ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมสงคราม ไม่จำเป็นต้องปราบเหล่าร้ายเท่านั้น แต่หมายถึงผู้นำในโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนโลกผ่านความคิดสร้างสรรค์ ความเข้าอกเข้าใจและความสนใจ

ไม่ว่าคุณจะทำอาชีพอะไร เชื้อชาติใด เพศใด อายุเท่าไหร่ ก็สามารถเป็น ‘ฮีโร่’ ของใครบางคนได้

BTS คือหนึ่งในวีรบุรุษของโลกยุคใหม่ เปลี่ยนโลกด้วยเสียงดนตรีและตัวตนของพวกเขา Soft Power ของสมาชิกวงทั้ง 7 คนรวมถึงทีมงานเบื้องหลังอีกมากมาย มีอิทธิพลที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตและชักจูงแฟนเพลงทั่วโลกไปในทางที่ดีขึ้น รวมถึงทำให้เศรษฐกิจ การท่องเที่ยวและการเผยแพร่วัฒนธรรมของเกาหลีใต้เติบโตมหาศาล

หนังสือ I AM BTS แปลโดยบ้าน CandyClover ผู้สร้างสรรค์บทความดีๆ เกี่ยวกับ BTS ให้อาร์มี่ไทยได้อ่านกันประจำ ดังนั้นการันตีว่าอ่านเล่มนี้แล้วจะสัมผัสได้ถึงความรักนับถือที่มีต่อหนุ่มๆ ผ่านตัวอักษรเลย

กล่าวถึงเรื่องราวการเดินทางของวง BTS ตั้งแต่ก่อนเดบิวต์จนถึงตอน BTS กล่าวสุนทรพจน์ที่ UN ในปี 2018 เชื่อว่าเกือบทุกเรื่องราวอาร์มี่คงพอทราบอยู่แล้ว แต่การได้อ่านแบบเรียบเรียงมาเป็นไทม์ไลน์ มีรายละเอียดใหม่เล็กๆ น้อยๆ สอดแทรกให้เรายิ่งรักและนับถือหนุ่มๆ บังทันมากขึ้นไปอีกค่ะ

ภาพปกสวยมาก สวยสะดุดตาจนซื้อเถอะ! เนื่องจากรูปเล่มถูกห่อพลาสติกไว้จึงไม่สามารถดูข้างในได้ เลยคิดไปเองว่าภาพการ์ตูนในเล่มคงจะลายเส้นเดียวกันกับหน้าปก ปรากฏว่าเป็นลายเส้นการ์ตูนเด็กเหมือนตึ๋งหนืดซะงั้น! ไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่เพราะเราคาดหวังว่าลายเส้นในหนังสือจะตรงปก เลยผิดหวังมากๆ อ่านช่วงแรกแยกไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร แต่เนื้อหาดีๆ ก็ช่วยให้เรามองข้ามเรื่องนี้ไปได้

 ขอหยิบเรื่องราวบางส่วนจากในหนังสือ I AM BTS มาให้เพื่อนๆ ชาวอาร์มี่อ่านกันว่ามีอะไรบ้าง

ก่อนจะมาเป็น BTS : เด็กหนุ่มทั้งเจ็ดผู้ไล่ตามความฝัน

เมื่อมองกลับไปตอนสมัยมัธยม เรากำลังทำอะไรอยู่นะ? เที่ยวเล่นและไปติวที่สถาบันกวดวิชากับเพื่อนๆ หลังเลิกเรียน นอนเล่นในวันหยุด มีความฝันแต่ยังไม่ลงมือทำเพราะมองว่าเป็นเรื่องของอนาคตอันยาวไกล

แต่สำหรับเด็กหนุ่มวัยม.ต้น คิมนัมจุน 🐨 ที่โรงเรียนเขาเป็นเด็กหัวกะทิ ผลการเรียนดีเด่นติดอันดับท็อป 1.3% ของประเทศ หลังเลิกเรียนเขากลายเป็นแร็ปเปอร์ผู้ทรงพลังในเวทีใต้ดิน ได้รับการยกย่องจากรุ่นพี่หลายคน เป็นตัวอย่างของคนที่แบ่งเวลาทำสิ่งที่ควรทำและสิ่งที่รักได้อย่างยอดเยี่ยม

มินยุนกิ 😼 เริ่มฝึกงานที่สตูโออัดเสียงตั้งแต่อายุ 17 ปี และเขียนเพลงเอง ความสามารถในการโปรดิวซ์เพลงนี่แหละที่ทำให้เขาผ่านการคัดเลือกเป็นเด็กฝึกของค่าย Big Hit Entertainment เนื่องจากทางบ้านไม่สนับสนุน ยุนกิจึงทำงานพาร์ทไทม์เป็นเด็กส่งของเพื่อเลี้ยงดูตัวเองไปด้วยระหว่างเป็นเด็กฝึก จนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้เขาบาดเจ็บที่ไหล่อย่างรุนแรงและยังส่งผลมาถึงทุกวันนี้ เมื่อทางค่ายทราบเรื่องจึงช่วยสนับสนุนด้านการเงินจนยุนกิไม่ต้องทำงานพิเศษอีกต่อไป รวมถึงรอคอยให้เขาฟื้นตัวเต็มที่แล้วค่อยกลับมาซ้อม

เด็กหนุ่มที่สดใสและมองโลกในแง่ดีเสมออย่าง จองโฮซอก 🦄 มีฉายาที่สมกับบุคลิกว่า ‘สไมล์โฮยา’ มีชื่อเสียงในฐานะนักเต้นสตรีทย่านควังจูตั้งแต่สมัยม.ต้น นอกจากความสามารถด้านการเต้นแล้ว สิ่งที่ชนะใจกรรมการจนทำให้โฮซอกผ่าการออดิชั่นคือ ความมุ่งมั่นที่ไม่มีที่สิ้นสุด แม้เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง เขายังคงฝึกซ้อมเต้นซ้ำไปซ้ำมาเพื่อทำการแสดงให้ดีที่สุด

มักเน่ทองคำอย่าง จอนจองกุก 🐰 มีพลังเหลือล้นมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะกีฬาอะไรก็เล่นได้ดีเสมอ รวมถึงฉายแววในด้านการเต้นอีกด้วย จนทางค่ายสนับสนุนให้เขาไปเรียนที่สถาบันสอนเต้นชื่อดังของอเมริกา

คิมแทฮยอง 🐯 หนุ่มน้อยที่เติบโตในชนบท มีน้ำใจและชอบช่วยเหลือคนอื่นเสมอ มีหน้าตาโดดเด่นจนถูกทาบทามให้ลองออดิชั่นดูและก็ผ่านฉลุย มีเสียงทุ้มนุ่มอันเป็นเอกลักษณ์และเรียนรู้การเต้นได้ไวอีกด้วย 

นักศึกษาหน้าตาดีอย่าง คิมซอกจิน 🐭 จากคณะภาพยนตร์และการแสดง มักได้รับการทาบทามจากสังกัดบันเทิงอยู่บ่อยๆ แต่เขาปฏิเสธเรื่อยมาเพราะเขาใฝ่ฝันที่จะเป็นนักแสดง ต้องขอบคุณคำพูดของแมวมองค่าย Big Hit Entertainment ที่ว่า “ถ้าจะเป็นนักแสดง การมีความสามารถรอบด้านไม่ได้สร้างโอกาสให้นายมากกว่าหรอกหรอ” ทำให้จินตัดสินใจลองมาเป็นเด็กฝึกดู เราไม่จำเป็นต้องพุ่งชนเป้าหมายด้วยเส้นทางตรงเพียงอย่างเดียว บางครั้งการใช้ทางอ้อมอาจนำพาเรื่องเซอร์ไพรส์ที่ดีเกินคาดมาให้

สมาชิกคนสุดท้ายอย่างหนุ่มหน้าหวาน พาร์คจีมิน 🐥 เขาเป็นที่หนึ่งของชั้นเรียนเอกจินตลีลาร่วมสมัย เต้นพริ้วไหวและนุ่มนวลราวกับสายน้ำ ทักษะการเต้นนี้กลายมาเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้วง BTS สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

เดิมทีสมาชิกวง BTS มีมากกว่า 7 คน โดยทางค่ายตั้งใจจะปั้นวงฮิปฮอปทำดนตรีแร็ป แต่ก็เปลี่ยนเป็นปั้นวงไอดอลที่มีพื้นฐานดนตรีฮิปฮอปและแร็ปแทนเพื่อให้เป็นที่นิยมสำหรับคนทั่วไปมากขึ้น การเปลี่ยนคอนเซ็ปต์ทำให้บางคนตัดสินใจออกจากวงจนเหลือเพียงสมาชิกปัจจุบัน โดยนัมจุนกล่าวว่า “ในเมื่อเริ่มมาแล้ว ก็ต้องลองไปต่อให้สุดสิ ผมจะอยู่ที่นี่ต่อไป” เมื่อเจอการเปลี่ยนแปลง ลองทำมันให้ดีที่สุดก่อน เรื่องดีๆ อาจจะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงนั้นก็ได้

ซื้อหนังสือ I AM BTS : นายอินทร์

สำหรับชื่อวงบังทันโซนยอนดัน (방탄소년단) หรือชื่อย่อ BTS มีที่มาจากผู้ก่อตั้งและประธานค่าย Big Hit Entertainment อย่าง Hitman บังชีฮยอก โปรดิวเซอร์ที่มีผลงานโด่งดังอย่างวง g.o.d, Wonder Girls, 8Eight, 2AM และอีกมากมาย เขาอยากให้วงบอยแบนด์วงแรกของค่ายให้เป็นตัวแทนคนหนุ่มสาวในวัยเดียวกัน โดยชื่อวงที่แปลตรงตัวว่า ‘เสื้อเกราะกันกระสุน’ หมายถึง การเป็นเกราะป้องกันจากอคติและการข่มเหงที่มีอยู่ทั่วโลก เช่น อคติจากคนรุ่นเก่า, อคติจากความแตกต่าง, ความสิ้นหวังและความเจ็บปวดจากการกระทำเหล่านั้น BTS จะเป็นตัวแทนของวัยรุ่นที่กำลังต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้อยู่เช่นกัน

เดบิวต์และเฉิดฉาย : เส้นทางศิลปินตลอด 6 ปี

ในวันที่ 13 มิถุนายน 2013 วง BTS ได้เดบิวต์ทางรายการเพลงอย่างเป็นทางการ ด้วยเพลงที่มีเอกลักษณ์ โดดเด่นด้านฮิปฮอปและแร็ป การเต้นดุดัน เนื้อเพลงเชิงวิพากษ์วิจารณ์ชีวิตวัยรุ่นและสังคม วง BTS จึงได้รับความนิยมจากแฟนๆ มากมาย แต่ขณะเดียวกันความแตกต่างนี้ก็ทำให้ได้รับคำตำหนิติเตียนและเย้ยหยัน โดยเฉพาะ Rap Monster และ Suga ที่ถูกแร็ปเปอร์ใต้ดินดิส (diss) อย่างหนักหน่วง พวกเขาไม่ได้นิ่งเฉย แต่นำเสียงเหล่านั้นมาเป็นแรงผลักดันในการพัฒนาตนเอง

การเดบิวต์เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ทางค่ายต้องการปั้นศิลปินที่เติบโตขึ้นได้ด้วยตนเองมากกว่าเอาแต่พึ่งพาคนอื่น สามารถทำเพลง แต่งเพลง สร้างสรรค์ท่าเต้น ออกแบบคอนเซ็ปต์มิวสิกวิดีโอ การแสดง ไปจนถึงเสื้อผ้าหน้าผมได้เอง เพื่อให้พวกเขาได้แสดงความเป็นตัวเองออกมา

ทางหนุ่มๆ บังทันเองก็ต้องการพัฒนาความสามารถของตัวเองอยู่เสมอ พวกเขามีส่วนร่วมในการทำเพลงและสร้างสรรค์การแสดงมาตั้งแต่อัลบั้มแรกจนถึงปัจจุบัน ทำให้อาร์มี่ได้สัมผัสตัวตนที่แท้จริงของ BTS และรู้สึกว่าพวกเขาคือตัวแทนของคนในวัยเดียวกันจริงๆ



เคล็ดลับความสำเร็จของวง BTS

เคล็ดลับความสำเร็จอย่างหนึ่งที่โดดเด่นของ BTS คือ การใช้ประโยชน์จากช่องทางโซเชียลมีเดียได้อย่างมีประสิทธิภาพ พวกเขาสื่อสารกับแฟนๆ อย่างสม่ำเสมอผ่านบล็อก, Twitter และ Youtube ลงคลิปชีวิตประจำวัน ซ้อมเต้น เบื้องหลังการทำงานและรายการวาไรตี้ ด้วยภาพลักษณ์ที่เป็นกันเอง เป็นเด็กหนุ่มธรรมดาที่ไม่แต่งแต้ม แสดงออกถึงความพยายาม การทำงานหนักและมีช่วงเวลาเล่นสนุก จึงทำให้มีผู้ติดตามเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว 

แม้ตารางงานจะแน่นขนัดหรือในวันหยุดก็ตาม พวกเขาก็ไม่เคยหยุดสื่อสารกับอาร์มี่ แฟนๆ จึงติดตามอย่างอยู่เหนียวแน่น

นอกจากการสื่อสารที่ดีเยี่ยมแล้ว การเรียนรู้และพัฒนาความสามารถอยู่ตลอดก็เป็นจุดแข็งที่ทำให้อาร์มี่รักและนับถือหนุ่มๆ บังทัน

ยกตัวอย่างเช่น ทักษะวาไรตี้จากรายการ RUN BTS ลองกลับไปดูจุดเริ่มต้น Ep.1 (2015) และคลิปล่าสุด Ep.155 (2021) เห็นชัดว่าทุกคนพัฒนาด้านการพูด การแสดงออก สีหน้าท่าทาง จังหวะ ไหวพริบและความมั่นใจ ซึ่งเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ 

นอกจากนี้ทักษะที่พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัดยังมีการเต้นและการพูดของ RM และจิน, ภาษาอังกฤษของจองกุก, การเล่นกีตาร์ของยุนกิ, การแต่งเพลงของจีมิน, การแร็ปและโปรดิวซ์เพลงของเจโฮป, และการเล่นแซ็กโซโฟนของวี เป็นต้น

แม้จุดเริ่มต้นจะไม่เป็นดั่งใจ ขอเพียงลงมือทำ กล้าที่จะผิดพลาดและเรียนรู้ ฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง เราจะเป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีขึ้นได้แน่นอน 

ไอดอลเจน 1, เจน 2, เจน 3 คืออะไร?

เราอาจคุ้นเคยว่า BTS เป็นไอดอลเจน 3 แล้วแต่ละ ‘เจน’ แตกต่างกันอย่างไร? มาดูกัน 

คำว่า ‘เจน’ มาจาก ‘Generation of K-Pop Idol Groups’ หมายถึงไอดอลเกาหลีใต้ของแต่ละยุคสมัย ซึ่งแต่ละยุคต่างมีเอกลักษณ์แตกต่างกันดังนี้

ไอดอลเจน 1 (1990s – 2000s) : จุดกำเนิดของวงไอดอลเกาหลีใต้ ‘เพลงแดนซ์’ ถือกำเนิดขึ้นมา พฤติกรรมของผู้ชมเปลี่ยนจากการ ‘ฟังเพลง’ สู่การ ‘รับชมเพลง’ หมายถึงสนุกที่ได้รับชมการแสดงของศิลปิน ไอดอลเจน 1 ที่โดดเด่น ได้แก่ Seo Taiji and Boys (เดบิวต์ปี 1992) ตำนานและต้นแบบวงไอดอล, H.O.T. บอยแบนด์ที่ผ่านการฝึกฝนอย่างเป็นระบบกลุ่มแรก, และ Fin.K.L เกิร์ลกรุ๊ปแห่งยุค

ไอดอลเจน 2 (2000s – 2010s) : เพลง K-Pop ถูกพัฒนาเป็น ‘เพลงที่เอาไว้ร้องและเต้นตามได้’ มีท่อนฮุกติดหูและท่าเต้นสนุกสนาน เกิดการร้องและเต้นโคฟเวอร์ในหมู่แฟนเพลงจนกลายเป็นวิธีโปรโมทที่มีประสิทธิภาพ วงที่โดดเด่น ได้แก่ TVXQ, Big Bang, Wonder Girls, Girls’ Generation และ Super Junior

ไอดอลเจน 3 (2010s – 2016s) : ยุคดิจิทัลที่โซเชียลมีเดียพัฒนาไปทั่วโลก ไอดอลรุ่น 3 จึงเน้นทำกิจกรรมบนโลกออนไลน์ แตกต่างจากรุ่นก่อนๆ ที่เน้นทำกิจกรรมผ่านโทรทัศน์และสื่อสิ่งพิมพ์ มีการเปิดตัวเพลงใหม่ทาง Youtube สื่อสารกับแฟนคลับผ่านบล็อกและโซเชียลมีเดีย ปราศจากข้อจำกัดของเวลา, สถานที่, และภาษาซึ่งสามารถใช้แอปแปลภาษาได้ ฐานแฟนคลับจึงกระจายไปทั่วโลกและเหนียวแน่นมากขึ้น ไอดอลที่โดดเด่น ได้แก่ EXO, BTS, Twice, GOT7, BlackPink และอีกมากมาย

หนังสือที่เป็นแรงบันดาลใจในอัลบั้มของ BTS

หนุ่มๆ บังทันมักนำข้อคิดและเรื่องราวจากหนังสือที่อ่านมาแต่งเพลงหรือเป็นคอนเซ็ปต์อัลบั้ม มาดูกันว่ามีหนังสือเล่มไหนบ้าง

เดเมียน (Damian) : เรื่องราวของ ‘ซินแคลร์’ หนุ่มวัยรุ่นผู้หลงทางอยู่ระหว่างความผิดชอบชั่วดี ได้รับความช่วยเหลือจาก ‘เดเมียน’ ผู้ที่คอยชี้ทางเดินให้ เล่มนี้เป็นหัวใจสำคัญของเพลง Blood Sweat & Tears มีการหยิบถ้อยคำจากหนังสือและภาพสัญลักษณ์ต่างๆ มาใส่ในมิวสิกวิดีโอ โดยหนังสือสื่อว่า “ปีศาจไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย แต่เป็นกระบวนการที่ทำให้มนุษย์เติบโตขึ้น”

The Wind’s Twelve Quarters : รวมเรื่องสั้น 17 เรื่อง โดยเรื่องสั้นตอนหนึ่งชื่อว่า ผู้ละทิ้งโอเมลาส (The Ones Who Walks Away from Omelas) เป็นแรงบันดาลใจในเพลง Spring Day โดย ‘โอเมลาส’ คือดินแดนสวรรค์บนดินที่ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ แต่แลกมากับการกักขังเด็กชายผู้ทนทุกข์ทรมานคนหนึ่งไว้ในห้องใต้ดิน

1Q84 : ผลงานของ Haruki Murakami เรื่องราวของผู้จัดการฟิตเนสที่เป็นนักฆ่ากับคุณครูสอนคณิตศาสตร์ผู้ทะเยอทะยาน คนสองคนที่ไม่เกี่ยวข้องกันต่างได้รับภารกิจที่นำไปสู่จุดเชื่อมโยงของพวกเขา RM ประทับใจข้อความในหนังสือที่ว่า “ที่ใดมีความหวัง ที่นั่นย่อมมีความยากลำบาก” จึงหยิบมาใส่ในเพลง Sea 

เราทุกคนล้วนมีร้านเวทมนตร์อยู่ในใจ (Into the Magic Shop) : อัตชีวประวัติของศัลยแพทย์ที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมแร้นแค้น ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปเมื่อได้เจอกับร้านเวทมนตร์กลางทะเลทรายกับคุณยายที่มีหัวใจยิ่งใหญ่ เล่มนี้เป็นแรงบันดาลใจให้จองกุกแต่งเพลง Magic Shop ที่โด่งดังขึ้นมา

ซื้อหนังสือ I AM BTS : นายอินทร์

เรื่องราวของวง BTS เป็นเรื่องที่ซิสสามารถอ่านได้ซ้ำๆ ไม่เคยเบื่อ ทุกครั้งที่อ่านเหมือนเป็นการเติมเชื้อไฟให้ชีวิต ให้เราพัฒนาความสามารถเพื่อเป็นตัวเองที่ดีกว่าเดิม รวมถึงส่งต่อเรื่องดีๆ ให้กับคนอื่นเหมือนที่ BTS และกลุ่มอาร์มี่ทั่วโลกทำ

ยังมีหนังสือเล่มอื่นๆ ที่วง BTS นำมาเป็นแรงบันดาลใจในอัลบั้ม รวมถึงเกร็ดประวัติที่น่าสนใจและแบบสำรวจชีวิตค้นหาอาชีพด้วย สามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากหนังสือ I AM BTS



0 Shares
You May Also Like
รีวิวหนังสือสวรรค์ประทานพร

รีวิวหนังสือสวรรค์ประทานพร : เทพตกอับกับราชาผีคลั่งรัก

'องค์ไท่จื่อเซี่ยเหลียน' ลูกรักของสวรรค์กลับตกอับจนถูกเรียกว่าเทพขยะ แต่ทำไม 'ราชาผีฮวาเฉิง' ผู้ยิ่งใหญ่ถึงมาตามติดเขาต้อยๆ ได้ล่ะเนี่ย

สรุปหนังสือเจ้าชายน้อย: 4 ข้อคิดจากเด็กน้อยที่ผู้ใหญ่คนนี้เคยเป็น

วรรณกรรมอมตะสำหรับผู้ใหญ่ทุกคนที่หวนคิดถึงตัวตนในวัยเยาว์ที่เต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ ความกล้าหาญ ความฝัน และความเชื่อว่าตัวเองทำได้ทุกอย่าง
สรุปหนังสือผู้หญิงร้าย ผู้ชายรัก

สรุปหนังสือผู้หญิงร้าย ผู้ชายรัก : คัมภีร์แห่งการรักตัวเอง

รวม 9 ข้อคิดดีๆ จากหนังสือผู้หญิงร้าย ผู้ชายรัก 💋 ที่จะทำให้คุณหันมาให้เกียรติตัวเองในช่วงเวลาที่หลงรักคนอื่นจนหลงลืมที่จะรักตัวเอง
สรุปหนังสือ ศิลปะการอยู่ร่วมกับคนเฮงซวย

สรุปหนังสือ The Asshole Survival Guide : ศิลปะการอยู่ร่วมกับคนเฮงซวย

คู่มือรับมือคนเฮงซวยที่ช่วยให้เรารักษาชีวิตอันแสนสงบสุขด้วยการตัด “ปัญหาคนเฮงซวย” ทั้งแบบชั่วคราวและเรื้อรังอย่างฉลาดและบาดเจ็บน้อยที่สุด
สรุปหนังสือชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์ (Four Thousand Weeks)

สรุปหนังสือชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์ : 4 ข้อคิดในการบริหารเวลาชีวิต

"เพราะเราไม่ได้มีเวลา แต่เราคือเวลา" เมื่อเวลามีจำกัด แต่เรายังมีสิ่งมากมายบนโลกที่อยากทำ เราจะบริหารเวลาอย่างไรเพื่อให้ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย
สรุปหนังสือถึงโมโหก็อย่าสู้กับคนโง่

สรุปหนังสือถึงโมโหก็อย่าสู้กับคนโง่ : 3 วิธีดับความหัวร้อน

อย่าสิ้นเปลืองเวลาและพลังงานไปกับการสู้กับคนโง่เลย เพราะเป้าหมายสำคัญกว่าความสะใจเพียงชั่วคราว มาดูวิธีดับความหัวร้อนจากเล่มนี้กัน