#ReadersGarden no.94
ย้อนกลับไปปี 2018 ร็อกซี นาฟูซี (Roxie Nafousi) ในวัย 27 ปีเป็นหญิงสาวที่ไร้จุดหมายชีวิต ตกอยู่ในวังวนของเหล้ายาปาร์ตี้ ล้มเหลวในความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง ต่อสู้กับโรคซึมเศร้ามากว่าสิบปี รู้สึกไร้คุณค่า เธอพยายามดึงตัวเองออกมาจากวังวนแห่งความสิ้นหวัง ถึงขนาดลงทุนมาอบรมโยคะที่ประเทศไทยเป็นเวลา 1 เดือน ทำสมาธิ ออกกำลังกาย กินอาหารคลีน ทบทวนสิ่งต่างๆ แต่เมื่อเธอกลับไปยังบ้านเกิดที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ชีวิตก็กลับเข้าสู่วังวนแห่งความสิ้นหวังเหมือนเดิม
4 ปีถัดมา ร็อกซีในวัย 31 ปีกลายเป็นบล็อกเกอร์และนักพูดให้แรงบันดาลใจชื่อดัง เธอมีลูกชายที่น่ารักกับอดีตสามีนักแสดงชาวออสเตรเลีย เวด บริกส์ (Wade Briggs) เธอมีรายได้มั่นคง พึ่งพาตัวเองได้และได้ช่วยเหลือผู้คนให้มีชีวิตที่ดีขึ้นผ่านศาสตร์แห่งจิตดลบันดาล (Manifesting) และตีพิมพ์หนังสือขายดีเล่มนี้ Manifest 7 ขั้นตอนสู่ทุกสิ่งที่ปรารถนา (Manifest: 7 Steps to Living Your Best Life)
มาดูกันค่ะว่า Manifesting เปลี่ยนชีวิตของร็อกซีและนักเรียนของเธอให้ดีขึ้นในเวลาไม่กี่ปีได้อย่างไร
สร้างชีวิตในฝันด้วย Manifest
หากเพื่อนๆ เคยอ่านหนังสือขายดีอย่าง The Secret ของรอนดา เบิร์น (Rhonda Byrne), Good Vibes Good Life ของเว็กซ์ คิง (Vex King) หรือ Into the Magic Shop ของคุณหมอเจมส์ อาร์. โดตี (James R. Doty, M.D.) คงคุ้นเคยกับกฎแรงดึงดูดที่ว่าด้วยสิ่งที่เหมือนกันจะดึงดูดกัน หากเรามีพลังงานบวก ก็จะดึงดูดสิ่งดีๆ เข้ามา ซึ่ง Manifesting ของร็อกซีมาจากกฏแรงดึงดูดเช่นเดียวกันค่ะ
กฎแรงดึงดูดเป็นแนวคิดคลาสสิกที่มีมาตั้งแต่ปี 1906 โดยวิลเลียม วอล์กเกอร์ แอตคินสัน (William Walker Atkinson) เสนอแนวคิดนี้ไว้ใน Thought Vibration or The Law of Attraction in the Thought World — หากสรุปกฏแห่งแรงดึงดูดสั้นๆ คือ เราสามารถดึงดูดสิ่งที่ต้องการเข้ามาในชีวิตได้ด้วยการคิดถึงสิ่งนั้นอย่างจริงจัง เหมือนดั่งเช่นคุณหมอโดตี ผู้เขียนหนังสือ Into the Magic Shop ที่สมัยเด็กเขาแบ่งเวลาทำสมาธิและนึกภาพว่าตัวเองเป็นหมอทุกวัน นั่นทำให้เขาเริ่มใช้ชีวิตเพื่อเป็นหมอจริงๆ ตั้งใจเรียน หาข้อมูลทุนและเข้าหาผู้คนในโรงเรียนแพทย์ จนเขาได้กลายเป็นศัลยแพทย์ตามที่ตั้งใจจริงๆ
จิตดลบันดาล (Manifesting) ช่วยให้เราปลดปล่อยตัวตนที่แท้จริงที่สุด เปี่ยมพลังที่สุด รักตัวเองที่สุด และยอดเยี่ยมอย่างที่สุดที่มีอยู่ออกมา
Manifest ของร็อกซีคือ ความสามารถในการสร้างชีวิตที่สมปรารถนา ดึงดูดสิ่งใดก็ตามที่เราปรารถนาเข้ามาในชีวิต ด้วยกฎแรงดึงดูดค่ะ ตอนอ่านไปไม่กี่หน้า ซิสคิดว่าซื้อมาซ้ำเสียเปล่ามั้ยนะ เพราะเนื้อหาคล้ายกับหนังสือกฎแรงดึงดูดเล่มอื่นๆ แต่พอลองอ่านไปจนจบ กลายเป็นว่าตอนนี้ซิสชอบเล่มนี้มากที่สุดในบรรดาหนังสือที่พูดถึงกฎแรงดึงดูดเลยค่ะ
เหตุผลแรกคือเรารู้สึกเชื่อมโยงกับประสบการณ์ของร็อกซีและนักเรียนของเธอ รู้สึกเหมือนว่ามีเพื่อนที่กำลังพยายามสร้างชีวิตที่ดีไปด้วยกัน เหตุผลที่สองคือ 7 ขั้นตอน Manifesting ของร็อกซีนั่นกระชับ ตรงประเด็น เข้าใจและทำตามง่าย มีแบบฝึกหัดให้เราได้ทบทวนและสร้าง Manifesting ของตัวเอง ขอสรุปพาร์ทที่เราชอบดังนี้ค่ะ
มองภาพชีวิตในฝันให้ชัดเจนด้วยวิชั่นบอร์ด
หากไม่มีเป้าหมาย เราก็ไม่รู้ว่าควรเดินไปทางไหน ดังนั้นให้เริ่มจากนึกภาพคนที่เราอยากจะเป็น ชีวิตที่เราอยากจะมีให้ชัดเจนที่สุด เช่น หากคุณอยากมีบ้าน ให้นึกถึงว่าบ้านในฝันมีลักษณะแบบไหน สถานที่ตั้ง การตกแต่ง ราคา ชีวิตภายในบ้านหลังนั้น เป็นต้น ยิ่งภาพชัดเจน ยิ่งทำให้เราซึมซับการเป็นสิ่งนั้นและรู้ว่าเราต้องมีพฤติกรรมอย่างไรถึงจะคว้าสิ่งนั้นมาได้
เราคือนักออกแบบ ภัณฑารักษ์และสถาปนิกประจำชีวิตของเรา เรามีพลังที่จะปรับเปลี่ยนและสั่งการว่าเราอยากให้เป็นอย่างไรได้เสมอ
วิธีหนึ่งที่ทำให้มองภาพชีวิตในฝันได้ชัดเจนที่สุดคือ การสร้างวิชั่นบอร์ด (vision board) แปะภาพชีวิตในฝันของคุณไว้เพื่อเตือนใจและเป็นแรงบันดาลใจให้เรารู้ว่าเป้าหมายของเราคืออะไร
เครื่องมือยอดฮิตในการสร้างวิชั่นบอร์ดง่ายๆ คือ Pinterest ค่ะ เราสามารถเลือกภาพชีวิตสวยงามที่เราอยากจะมีและพินเก็บไว้ในบอร์ดส่วนตัวได้เลย โดยร็อกซีแนะนำให้มองภาพชีวิต 6 ด้านดังนี้ค่ะ
- การพัฒนาส่วนตัว เช่น บุคลิกภาพ, สุขภาพกายและใจ, ตัวตนที่อยากเป็น
- ความรักและความสัมพันธ์
- หน้าที่การงาน
- เพื่อนและครอบครัว
- บ้าน/ที่อยู่
- งานอดิเรก/สิ่งบันเทิง
ขจัดความกลัว บ่มเพาะการรักตัวเอง
สิ่งที่ฉุดรั้งพวกเราจากชีวิตในฝันคือความกลัวและความกังขาในของตัวเอง เรามักติดกับดักของคอมฟอร์ทโซน อยู่แต่ในที่ที่สบายใจ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเลย เพียงแต่บางครั้งความสบายใจนี้ก็ทำให้เราพลาดโอกาสเติบโตและคว้าสิ่งที่เราอยากจะได้จริงๆ ซึ่งแนวคิดหนึ่งที่ซิสชอบมากๆ ในเล่มนี้ที่ทำให้เราคลายความกลัวลงได้คือหลักคิดเรื่องความอุดมสมบูรณ์
จักรวาลอุดมสมบูรณ์ เราคู่ควรที่จะได้รับสิ่งที่เหมาะสม
แนวคิดเรื่องความอุดมสมบูรณ์ของจักรวาลคือเชื่อว่ามีโอกาสหรือทรัพยากรเหลือเฟือให้พวกเราทุกคน ให้พวกเราพบเจอกับสิ่งที่เหมาะกับตัวเราจริงๆ ตรงกันข้ามกับหลักคิดเรื่องดินแดนยากไร้ที่เชื่อว่าทุกอย่างมีจำกัดและเราต้องแย่งชิงมันมา
ขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆ เช่น เราเดินเข้าไปในร้านเสื้อผ้าแล้วถูกใจกางเกงยีนส์ตัวหนึ่ง แต่เมื่อลองสวมดูแล้วพบว่าขนาดไม่พอดีกับเรา ถ้าเรายึดมั่นในหลักดินแดนแห่งความยากไร้ เราจะยอมซื้อกางเกงยีนส์ตัวนั้นมาเพราะกลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้เจอกางเกงยีนส์ที่สวยแบบนี้อีก แต่หากเราเชื่อในหลักความอุดมสมบูรณ์ เราจะยอมปล่อยกางเกงยีนส์ตัวนั้นไปอย่างสบายใจและมองหาโอกาสที่เหมาะกับเราต่อไป เพราะเชื่อว่าเรามีค่าคู่ควรที่จะได้รับสิ่งที่เหมาะกับเราจริงๆ
ทีนี้ลองเปลี่ยนกางเกงยีนส์เป็นเรื่องของงาน คู่รัก เพื่อน บ้าน รถ ลองนึกดูว่ามีอะไรบ้างที่คุณครอบครองอยู่ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่เหมาะกับเราหรือไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการจริงๆ แต่กลัวว่าจะไม่มีโอกาสที่จะเจอสิ่งที่เหมาะ หากคุณยังไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ตัวเองต้องการ อย่ากลัวที่ลองสำรวจสิ่งใหม่ไปเรื่อยๆ
แกล้งทำมันไปจนคุณกลายเป็นสิ่งนั้น
อีกหนึ่งแนวคิดที่ซิสชอบในเล่มนี้และใช้มันมาตลอดเวลาต้องเผชิญกับเรื่องท้าทายคือ Fake it until you make it. หรือแกล้งทำมันไปจนคุณกลายเป็นสิ่งนั้น เหมาะสำหรับคนที่มักด้อยค่าตัวเองหรือขาดความมั่นใจอย่างแรง แนวคิดนี้คือการเชื่อว่าตัวเองเป็นสิ่งนั้นเพื่อเตือนให้เราปรับพฤติกรรมให้เข้าใกล้สิ่งนั้น
ตัวอย่างจากประสบการณ์ทำงานของซิส ซิสเริ่มต้นงานแรกด้วยตำแหน่ง Customer Service ดูแลลูกค้า แต่ในเวลาไม่กี่เดือนซิสก็ได้โอกาสมาเป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่าย Campaign Marketing ทั้งรู้สึกซาบซึ้งกับโอกาสและรู้สึกกลัวว่าจะทำไม่ได้ เพราะเราไม่ใช่นักการตลาด ไม่เคยเรียนการตลาด ไม่รู้เลยว่าการตลาดต้องทำอะไรบ้าง หลังจากตื่นตระหนกไปหลายวันและเริ่มตั้งสติได้ ซิสก็เริ่มกล่อมตัวเองว่า ‘ตอนนี้ฉันทำงานในตำแหน่ง Marketing ดังนั้นฉันคือนักการตลาด’ แล้วนักการตลาดต้องทำอะไรบ้างล่ะ? แนวคิดนี้เองที่ผลักดันให้เราตั้งใจศึกษาหาความรู้ด้านการตลาด กล้าเข้าหาพี่ๆ ในทีมเพื่อขอเรียนรู้งาน ฝึกฝน เรียนรู้ไปจนตอนนี้เราเป็นนักการตลาดจริงๆ และทำงานในสายนี้มากว่า 6 ปีแล้วค่ะ
แนวคิด Fake it until you make it. เป็นดาบสองคมเช่นกัน บางคนอาจจะมองในแง่ลบเพราะคิดว่ามันเป็นการหลอกลวง แต่ซิสมองว่าถ้าเรานำแนวคิดนี้มาเพื่อผลักดันตัวเองไปสู่เป้าหมาย ไม่ได้นำมาหลอกลวงเอาเปรียบคนอื่น นี่เป็นแนวคิดที่ดีมากๆ ในการเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองค่ะ
ปรับพฤติกรรม ลงมือสร้างชีวิตในฝัน
Manifesting ไม่ใช่การอยู่เฉยๆ แล้วรอให้ชีวิตในฝันปรากฏขึ้นเอง แต่เป็นการแสดงให้จักรวาลเห็นว่าเราสมควรได้รับด้วยการลงมือปฏิบัติ เริ่มจากมองภาพให้ชัดเจน รู้ว่าตัวเองมีค่าควรได้รับสิ่งนั้น จากนั้นก็ลงมือเชิงรุกเพื่อทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นจริง
ตัวอย่างเช่น หาคุณอยากได้บ้านในฝัน มองเห็นภาพชัดเจนแล้วว่าอยากได้บ้านแบบไหน ย่านไหน ราคาเท่าไหร่ ขจัดความกลัวและความกังขาใดๆ เกี่ยวกับการมีบ้านหลังนั้น เชื่อว่าตัวเองสมควรได้รับมัน จากนั้นก็ลงมือเชิงรุกในการค้นหา เช่น เปิดเว็บไซต์ขายบ้าน ไปสำรวจดูบ้าน สร้างบัญชีเงินเก็บสำหรับค่าบ้านโดยเฉพาะ เป็นต้น
ร็อกซีแนะนำเทคนิคปรับพฤติกรรมไว้มากมาย เช่น การไม่ผัดวันประกันพรุ่ง, ออกจากคอมฟอร์ทโซนด้วยกฎห้าวินาที – เมื่อรู้สึกลังเลเพราะเกิดกลัว ให้นับถอยหลัง 5 วินาทีแล้วลงมือทำแบบไม่ต้องคิดเลย, ชัดเจนถึงเหตุผลว่าทำไมคุณถึงเริ่มต้นทำสิ่งนี้ เป็นต้น
หนึ่งในวิธีปรับพฤติกรรมที่ซิสชอบจากเล่มนี้คือ การสร้างนิสัยที่ดี เรื่องธรรมดา เรียบง่ายแต่ได้ผลจริงเสมอ โดยร็อกซีแนะนำวิธีการสร้างนิสัยที่ดีทุกวันไว้ ได้แก่ จดบันทึกทุกวัน, ฟังเสียงเชิงบวก, ทำสมาธิ, เดินเล่นประจำวัน, ดูแลผิวพรรณ, ใส่ใจอาหารการกิน, อาบน้ำนานๆ, ดูแลตัวเอง, ออกกำลังกาย และขอบคุณสิ่งต่างๆ
นิสัยที่ดีช่วยให้เราโอบรับบุคคลที่เราปรารถนาจะเป็นได้ จงเป็นพลังงานที่เราปรารถนาจะดึงดูดเข้าหาตัว
นอกจากนี้ร็อกซียังแนะนำถึงวิธีรับมือกับความผิดหวัง เมื่อผลลัพธ์ยังไม่เป็นไปตามที่ใจหวัง นั่นคือบททดสอบของจักรวาล อย่าเพิ่งยอมแพ้และด้อยค่าตัวเอง มองย้อนกลับไปที่หลักความอุดมสมบูรณ์ของจักรวาล มีโอกาสมากมายที่เหมาะสมกับเรารออยู่
⋆。゚☁︎。⋆。 ゚☾ ゚。⋆
เพื่อนๆ ที่อยากเริ่มต้นสร้างชีวิตในฝันของตัวเอง อยากรู้สึกว่าเราเป็นผู้ควบคุมชีวิตของตัวเอง Manifest เล่มนี้จะเป็นครูและเพื่อนที่ดีที่คอยให้คำแนะนำที่คุณต้องการได้อย่างแน่นอนค่ะ