สรุปหนังสือ Storytelling with Data: 6 เทคนิคเล่าเรื่องด้วยข้อมูลให้ตรึงใจ

0 Shares
0
0
0
0
0

#ReadersGarden เล่มที่ 71

“เราทุกคนล้วนเคยตกเป็นเหยื่อของสไลด์ที่ไร้คุณภาพ การนำเสนอที่ทำให้รู้สึกเหมือนถึงชนแล้วหนี ทิ้งให้เราต้องงงงวยเพราะฟอนต์ สีสัน สัญลักษณ์และไฮไลต์สับสนประเดประดัง… ตลอดจนแผนภูมิหรือตารางในสื่อที่สร้างความสับสนและเข้าใจผิด”

นี่คือคำเกริ่นนำของหนังสือ Storytelling with Data เล่มนี้ที่ทำให้เราต้องกลับมาทบทวนว่า บางครั้ง… เราอาจไม่เพียงแค่ ‘ตกเป็นเหยื่อ’ แต่ยังเผลอเป็น ‘ผู้ก่อเหตุ’ เสียเองด้วย เพราะมีข้อมูลที่อยากเล่ามากมาย แต่พื้นที่ในสไลด์และเวลามีจำกัด ผลที่ได้คือ เผลอยัดข้อมูลเยอะไป ผู้ฟังไม่เข้าใจ

เล่มนี้ช่วยคลี่คลายปัญหาเหล่านี้ได้ค่ะ เขียนโดยคุณโคล นุสบาเมอร์ นาฟลิก (Cole Nussbaumer Knaflic) ผู้เชี่ยวชาญด้านการเล่าเรื่องด้วยข้อมูลจาก Google ที่จะพาเรามาเรียนรู้วิธีถ่ายทอดข้อมูลให้น่าสนใจ เข้าใจง่าย การเล่าเรื่องด้วยข้อมูลที่ไม่ใช่แค่การใส่ตัวเลขหรือกราฟ แต่เป็นการสร้าง “เรื่องราว” ที่ผู้ฟังจะจำได้

หลังจากที่ได้ลองอ่านและฝึกตาม ชีวิตการพรีเซนต์งานเปลี่ยนไปเลยค่ะ ทำน้อยลง แต่มีประสิทธิภาพมากขึ้น สไลด์ดูน่ามอง อ่านง่าย และมืออาชีพขึ้นทันตา

ขอแบ่งปัน 6 เทคนิคถ่ายทอดเรื่องราวด้วยข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพจากหนังสือเล่มนี้ค่ะ



1. ทำความเข้าใจบริบทที่จำเป็นต่อการสื่อสาร

จุดเริ่มต้นของการสร้างสไลด์ที่ดี คือการเข้าใจบริบทของการสื่อสาร 3 ประการ ได้แก่ ใคร อะไร และอย่างไร

✦ ใคร: กลุ่มผู้รับสารของเราคือใคร? พวกเขามีความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่เราจะนำเสนอมากน้อยแค่ไหน? และความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพวกเขาเป็นแบบไหน? การตอบคำถามนี้ช่วยให้เราสื่อสารได้ตรงใจและเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย

อะไร: เราต้องการให้ผู้รับสารรู้อะไร และทำอะไรต่อ? เช่น ต้องการให้พวกเขาตัดสินใจบางอย่าง, ระดมความคิด, หรือรับทราบความคืบหน้าของงาน

อย่างไร: ข้อมูลอะไรที่จะช่วยสนับสนุนเรื่องราวที่เราอยากเล่า? และข้อมูลเหล่านั้นควรนำเสนอในรูปแบบไหนถึงจะเข้าใจง่ายที่สุด?

เมื่อเข้าใจทั้ง 3 บริบทแล้ว เราควรเริ่มจากการ เขียนสตอรีบอร์ด หรือร่างโครงเรื่องที่อยากเล่าก่อน วิธีนี้จะช่วยให้เราเรียบเรียงเนื้อหาได้ชัดเจน และรู้ว่าต้องเตรียมข้อมูลอะไรบ้าง

ลองคิดเล่นๆ ว่า ถ้ามีเวลานำเสนอแค่ 3 นาที เราจะเล่าอะไรให้ครบถ้วนและตรงประเด็นที่สุด? การตั้งคำถามนี้ช่วยให้เราจัดลำดับความสำคัญของเรื่องราว และเลือกเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นจริงๆ สำหรับการนำเสนอค่ะ

ซื้อหนังสือ: Shopee, นายอินทร์, SE-ED, Kinokuniya

2. เลือกสื่อที่มีประสิทธิภาพ

เมื่อเรารู้แล้วว่าจะต้องนำเสนอข้อมูลอะไรบ้าง ขั้นตอนต่อไปคือการแปลงข้อมูลเหล่านั้นให้อยู่ในรูปแบบภาพ (Data Visualization) เช่น แผนภาพ ตาราง หรือข้อความสั้นๆ เพื่อช่วยให้ผู้รับสารเข้าใจง่ายและเร็วขึ้นค่ะ

แต่ต้องระวัง! หากเลือกสื่อผิดประเภทหรือใส่ลูกเล่นมากเกินไป อาจทำให้สับสนและได้ผลตรงกันข้าม คุณโคลแนะนำแผนภาพที่ใช้บ่อยและครอบคลุมการเล่าเรื่องไว้ทั้งหมด 10 ประเภท (โดยซิสรวมแผนภูมิแท่งแนวตั้งและแนวนอนไว้ด้วยกัน) ซึ่งแต่ละแบบมีจุดเด่นดังนี้ค่ะ:

  1. ข้อความสั้นๆ (simple text): เหมาะกับการนำเสนอตัวเลขสำคัญ 1-2 ตัวเลขที่อยากให้ผู้ฟังจดจำง่ายๆ เช่น ยอดขายโต 50%
  2. ตาราง (table): ช่วยจัดระเบียบข้อมูลจำนวนมากให้อ่านง่าย แต่ต้องระวังว่าตารางอาจดึงดูดความสนใจจนผู้ฟังละสายตาจากการเล่าเรื่องของเรา แนะนำว่าหากข้อมูลเยอะมาก อาจใส่ไว้ในภาคผนวกแทนค่ะ
  3. ฮีตแมป (heatmap): ใช้สีในตารางช่วยดึงดูดสายตา เช่น สีเขียวบอกผลลัพธ์ดี สีแดงบอกผลลัพธ์ไม่ดี ทำให้ผู้รับสารมองเห็นจุดสำคัญได้เร็วขึ้น
  4. แผนภูมิกระจาย (scatterplot): เหมาะสำหรับการหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร 2 ตัว เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างงบการตลาดกับยอดขาย
  5. กราฟเส้น (line): ใช้แสดงการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลตามช่วงเวลา เช่น ยอดขายรายเดือน หรือแนวโน้มการเติบโตในแต่ละปี
  6. กราฟความชัน (slopegraph): ช่วยเปรียบเทียบข้อมูล 2 ประเด็นหรือ 2 ช่วงเวลา เช่น แสดงการเพิ่มขึ้น-ลดลงของยอดขายในปีนี้เทียบกับปีที่แล้ว
  7. แผนภูมิแท่ง (bar): เหมาะสำหรับการเปรียบเทียบข้อมูลระหว่าง 1-2 ชุดข้อมูล เช่น เปรียบเทียบยอดขายระหว่างสินค้า A และ B
  8. แผนภูมิแท่งแบบเรียงซ้อน (stacked bar): ใช้แสดงข้อมูลที่มีการแบ่งย่อย เช่น ยอดขายแบ่งตามภูมิภาค โดยเห็นทั้งยอดรวมและส่วนย่อยชัดเจน
  9. แผนภูมิน้ำตก (waterfall): แสดงจุดเริ่มต้นของข้อมูล การเพิ่ม-ลดในแต่ละขั้นตอน และผลลัพธ์สุดท้าย เช่น รายละเอียดการคำนวณกำไร
  10. แผนภูมิพื้นที่ (square area): ใช้สำหรับข้อมูลที่มีค่าต่างกันอย่างมาก เช่น สัดส่วนรายได้จากแหล่งต่างๆ

คุณโคลยังเตือนว่า ควรหลีกเลี่ยงแผนภูมิวงกลม, ภาพสามมิติ และการใช้แกน Y สองเส้น เพราะทำให้การตีความข้อมูลซับซ้อนและสื่อสารได้ยากค่ะ

3. ตัดน้ำให้เหลือแต่เนื้อ

“องค์ประกอบที่ไม่สำคัญ = ภาระทางการรับรู้” นี่คือหัวใจของเทคนิคนี้ค่ะ หลายคนอาจคิดว่ายิ่งใส่ข้อมูลเยอะ ยิ่งทำให้สไลด์ดูมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือ แต่ความจริงคือยิ่งข้อมูลมาก ผู้ฟังยิ่งสับสนว่า จุดไหนสำคัญ และอาจพลาดประเด็นหลักไป

สิ่งที่เราควรทำคือ ตัดน้ำออก หรือคัดกรองเฉพาะข้อมูลที่สำคัญจริงๆ ส่วนข้อมูลที่จำเป็นแต่ไม่ได้สำคัญในบริบทนั้นๆ สามารถใส่ไว้ใน ภาคผนวก หรือเก็บไว้เล่าเป็นคำพูดปากเปล่าแทนค่ะ

การเน้นจุดสำคัญ: ให้ข้อมูลที่สำคัญ “เด่น” กว่าองค์ประกอบรอบๆ เช่น ใช้สีอ่อนสำหรับกรอบตารางหรือแกนกราฟ หรือหากไม่จำเป็นอาจตัดออกไปเลย เพื่อให้ผู้ฟังโฟกัสเฉพาะสิ่งที่สำคัญ

พื้นที่ว่างบนสไลด์: หลายคนไม่ชอบพื้นที่ว่าง เลยพยายามใส่ข้อมูลให้เต็มจนแน่น แต่การเว้นพื้นที่ว่างช่วยให้สไลด์ดูสบายตาและข้อมูลโดดเด่นขึ้นค่ะ ลองเชื่อในหลักการ “น้อยแต่มาก” ดูนะคะ ใส่ข้อมูลให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น แต่ได้ประโยชน์และเข้าใจง่ายที่สุด

4. มุ่งเน้นจุดสนใจที่ต้องการ

ทุกสไลด์ย่อมมีจุดไฮไลท์ที่เป็นประเด็นหลัก เราสามารถตรึงความสนใจไปที่ไฮไลท์นั้นด้วยการสร้างตัวบ่งชี้การมองเห็น (visual cue) เช่น ใช้สีสัน, ตัวหนา, ตัวเอียง, ขนาด, ขีดเส้นใต้, ไฮไลท์, การจัดวางตำแหน่ง เป็นต้น

5. คิดอย่างนักออกแบบ

การออกแบบไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความสวยงามเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มความเข้าใจและประสิทธิภาพในการสื่อสาร คุณโคลแนะนำให้เรานำหลัก 4A มาใช้ในกระบวนการออกแบบสไลด์เพื่อถ่ายทอดข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้ค่ะ:

  1. ข้อบ่งชี้การใช้งาน (Affordance): ทำให้ผู้รับสารรู้ว่าสไลด์นี้ต้องการจะสื่ออะไร นำไปใช้งานอย่างไร โดยข้อมูลไม่ได้สำคัญเท่ากันหมด ดังนั้นกำหนดลำดับความสำคัญของข้อมูลให้ชัดเจน ควรขับเน้นองค์ประกอบสำคัญให้โดดเด่น กำจัดสิ่งที่เบี่ยงเบนความสนใจ ส่วนข้อมูลที่จำเป็นแต่ไม่ใช่ประเด็นหลักให้ปรับเป็นข้อมูลพื้นหลัง ส่วนรายละเอียดไม่จำเป็นแต่ต้องแจ้งให้ทราบ ให้สรุปสั้นๆ
  2. การเข้าถึงได้ (Accessibility): การออกแบบให้ผู้รับสารหลากหลายประเภทสามารถเข้าใจข้อมูลและนำไปใช้งานต่อได้ ดังนั้น Simple is the best น้อยแต่มาก เรียบแต่โก้ อย่าทำให้ซับซ้อนเกินไป อ่านง่าย ใช้ภาษาตรงไปตรงมา 
  3. สุนทรียศาสตร์ (Aesthetics): คนเราจะมองว่าการออกแบบที่ ‘สวยงาม’ นั้นใช้งานง่ายกว่า รวมถึงมีแนวโน้มที่จะอยากใช้เวลาอ่านสไลด์หรือตั้งใจรับฟังมากกว่า รวมถึงการออกแบบสวยงามยังถูกนำไปใช้งานต่อได้ทันทีและถูกแบ่งปันข้อมูลไปให้คนอื่นได้มากกว่า
  4. การยอมรับ (Acceptance): การออกแบบจะถือว่ามีประสิทธิภาพเมื่อได้รับการยอมรับจากกลุ่มผู้รับสารเป้าหมาย โดยทำให้เป็นถึงประโยชน์ของข้อมูลที่นำเสนอ

เคล็ดลับ: ก่อนจะออกแบบ ลองตั้งคำถามว่า “ผู้ฟังจะเห็นอะไรเป็นสิ่งแรก?” และ “พวกเขาจะเข้าใจจุดสำคัญภายใน 5 วินาทีหรือไม่?” คำถามเหล่านี้ช่วยให้เรามองภาพรวมของสไลด์และปรับปรุงให้ชัดเจนขึ้นค่ะ

6. ถ่ายทอดเรื่องราว

เมื่อเตรียมข้อมูลครบถ้วนแล้ว ขั้นตอนสำคัญสุดท้ายคือ การเล่าเรื่องราว ให้ดึงดูดและตรึงใจผู้ฟังค่ะ คุณโคลแนะนำเทคนิคที่ชื่อว่า Bing Bang Bongo ซึ่งเธอได้แรงบันดาลใจมาจากหลักการเขียนเรียงความสมัยเรียน เทคนิคนี้ช่วยให้การเล่าเรื่องมีโครงสร้างที่ชัดเจนและง่ายต่อการติดตาม โดยแบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก ดังนี้ค่ะ:

✦ Bing (เกริ่นนำ): ว่าจะนำเสนอเรื่องราวอะไร มีที่มาจากอะไร มีเป้าหมายอย่างไร 

  • เรากำลังจะเล่าอะไร? อธิบายหัวข้อที่จะนำเสนอ
  • เรื่องนี้สำคัญอย่างไร? ระบุเป้าหมายหรือเหตุผลที่เราต้องการเล่าเรื่องนี้
  • ตัวอย่าง: “วันนี้เราจะพูดถึงวิธีเพิ่มยอดขายด้วยการปรับกลยุทธ์การตลาดจากข้อมูลปีที่ผ่านมา ซึ่งจะช่วยให้ทีมของเราวางแผนได้แม่นยำขึ้นค่ะ”

✦ Bang (เนื้อเรื่อง): ประเด็นหลักของเรื่องราว

  • แบ่งเนื้อหาเป็นลำดับขั้นตอนหรือหัวข้อย่อยที่เข้าใจง่าย
  • ใช้ข้อมูล กราฟ หรือภาพประกอบเพื่อเสริมความชัดเจน
  • ตัวอย่าง: “จากการวิเคราะห์พบว่า ลูกค้ากลุ่มวัยรุ่นมีอัตราการเติบโตสูงสุดที่ 25% ในปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นโอกาสที่เราควรลงทุนเพิ่มในกลุ่มนี้ค่ะ”

✦ Bongo (สรุป): บทสรุปของเนื้อหา ทบทวนประเด็นสำคัญ และสิ่งที่ต้องทำต่อจากการนำเสนอในครั้งนี้

  • ทบทวนประเด็นสำคัญที่ผู้ฟังควรจดจำ
  • ระบุขั้นตอนถัดไปหรือการกระทำที่ต้องการให้ผู้ฟังทำหลังการนำเสนอ
  • ตัวอย่าง: “ดังนั้น เราควรมุ่งเน้นกลยุทธ์การตลาดที่ตอบโจทย์กลุ่มวัยรุ่น เช่น การเพิ่มแคมเปญผ่านโซเชียลมีเดีย เพื่อรองรับการเติบโตในปีถัดไปค่ะ”

ซื้อหนังสือ: Shopee, นายอินทร์, SE-ED, Kinokuniya

ในหนังสือ Storytelling with Data ยังมีกรณีศึกษาการถ่ายทอดเรื่องราว และตัวอย่างการปรับแผนภาพ ให้อ่านง่ายขึ้นอีกหลายสิบตัวอย่างค่ะ ทำตามได้ง่ายมาก แล้วจะเห็นความเปลี่ยนแปลงทันทีเลยว่า สไลด์ดูอ่านง่ายขึ้น สวยงาม และดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น

สำหรับเพื่อนๆ ที่อยากพัฒนาทักษะการสื่อสารด้วยข้อมูลให้ชัดเจน ตรงประเด็น และตรึงใจ หนังสือเล่มนี้คือเพื่อนคู่คิดที่ควรมีติดโต๊ะทำงานเลยค่ะ



0 Shares
You May Also Like
รีวิวหนังสือสวรรค์ประทานพร

รีวิวหนังสือสวรรค์ประทานพร : เทพตกอับกับราชาผีคลั่งรัก

'องค์ไท่จื่อเซี่ยเหลียน' ลูกรักของสวรรค์กลับตกอับจนถูกเรียกว่าเทพขยะ แต่ทำไม 'ราชาผีฮวาเฉิง' ผู้ยิ่งใหญ่ถึงมาตามติดเขาต้อยๆ ได้ล่ะเนี่ย

สรุปหนังสือเจ้าชายน้อย: 4 ข้อคิดจากเด็กน้อยที่ผู้ใหญ่คนนี้เคยเป็น

วรรณกรรมอมตะสำหรับผู้ใหญ่ทุกคนที่หวนคิดถึงตัวตนในวัยเยาว์ที่เต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ ความกล้าหาญ ความฝัน และความเชื่อว่าตัวเองทำได้ทุกอย่าง
สรุปหนังสือผู้หญิงร้าย ผู้ชายรัก

สรุปหนังสือผู้หญิงร้าย ผู้ชายรัก : คัมภีร์แห่งการรักตัวเอง

รวม 9 ข้อคิดดีๆ จากหนังสือผู้หญิงร้าย ผู้ชายรัก 💋 ที่จะทำให้คุณหันมาให้เกียรติตัวเองในช่วงเวลาที่หลงรักคนอื่นจนหลงลืมที่จะรักตัวเอง
สรุปหนังสือ ศิลปะการอยู่ร่วมกับคนเฮงซวย

สรุปหนังสือ The Asshole Survival Guide: ศิลปะการอยู่ร่วมกับคนเฮงซวย

คู่มือรับมือคนเฮงซวยที่ช่วยให้เรารักษาชีวิตอันแสนสงบสุขด้วยการตัด “ปัญหาคนเฮงซวย” ทั้งแบบชั่วคราวและเรื้อรังอย่างฉลาดและบาดเจ็บน้อยที่สุด
สรุปหนังสือชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์ (Four Thousand Weeks)

สรุปหนังสือชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์: 4 ข้อคิดในการบริหารเวลาชีวิต

"เพราะเราไม่ได้มีเวลา แต่เราคือเวลา" เมื่อเวลามีจำกัด แต่เรายังมีสิ่งมากมายบนโลกที่อยากทำ เราจะบริหารเวลาอย่างไรเพื่อให้ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย
สรุปหนังสือถึงโมโหก็อย่าสู้กับคนโง่

สรุปหนังสือถึงโมโหก็อย่าสู้กับคนโง่ : 3 วิธีดับความหัวร้อน

อย่าสิ้นเปลืองเวลาและพลังงานไปกับการสู้กับคนโง่เลย เพราะเป้าหมายสำคัญกว่าความสะใจเพียงชั่วคราว มาดูวิธีดับความหัวร้อนจากเล่มนี้กัน