สรุปหนังสือ The French Revolution การปฏิวัติฝรั่งเศส

สรุปหนังสือ The French Revolution : เรียนรู้จากปฏิวัติฝรั่งเศส 1789

0 Shares
0
0
0
0
0

#ReadersGarden เล่มที่ 24

หากพูดถึงเหตุการณ์ปฏิวัติครั้งสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์โลก การปฏิวัติฝรั่งเศส (French Revolution) มักจะเหตุการณ์แรกๆ ที่เรานึกถึง แม้จะไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ต้องเคยได้ยินเรื่องราวการประหารกษัตริย์ด้วยกิโยติน, ประโยคดังก้องโลกอย่าง “ก็ให้พวกเขากินเค้กสิ” ของพระนางมารี อังตัวเน็ตต์, และความเป็นฮีโร่ของคณะปฏิวัติและประชาชนฝรั่งเศสที่ล้มล้างราชวงศ์ผู้เพิกเฉยต่อประชาชนที่กำลังจะอดตาย จนกลายเป็นรากฐานสำคัญของประชาธิปไตยเสรีนิยมของโลก

แต่เรื่องราวที่เรารู้มาจริงเท็จมากน้อยแค่ไหนกัน?

หนังสือ The French Revolution เขียนโดยคุณพีรวุฒิ เสนามนตรี ของสำนักพิมพ์ยิปซี ชื่อนี้การันตีคุณภาพของหนังสือประวัติศาสตร์ เสนอข้อเท็จจริง เล่าออกมาให้เข้าใจง่าย และที่สำคัญ ปกหนังสือสวยน่าสะสมมาก (นี่ก็เป็นอีกเล่มที่โดนตกเป็นปกสวยเลยค่ะ)

ภาพวาดการปฏิวัติฝรั่งเศสปี 1789 (เครดิตภาพ Wikimedia)

เล่มนี้บอกเล่าข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ปฏิวัติฝรั่งเศสปี 1789 อย่างตรงไปตรงมา เปิดมุมมองใหม่ๆ ให้กับคนที่ไม่เคยศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังมาก่อนอย่างซิส บางเรื่องที่เคยรู้มาผ่านๆ หรือเผยให้เห็นแค่บางส่วนจากหนัง ทำให้มองแต่ความสำเร็จของการปฏิวัติ จนเผลอมองข้ามเลือด หยาดเหงื่อ น้ำตา และกองศพ

โดยเล่าเรื่องไปตามลำดับเหตุการณ์ เริ่มตั้งแต่การขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งเป็นยุคทองในหลายๆ ด้านและอำนาจของกษัตริย์อยู่ในจุดสูงสุด แต่เมล็ดพันธุ์แห่งการปฏิวัติก็ถูกปลูกขึ้นในรัชสมัยนี้เช่นกัน ค่อยๆ เติบโตขึ้นในยุคพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 จนผลิดอกออกผลในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16

พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 สุริยกษัตริย์ผู้สาดแสงไปทั่วโลก

ถ้าใครได้ดูละคร ‘บุพเพสันนิวาส’ คงจะพอคุ้นหูกับชื่อ ‘พระเจ้าหลุยส์ที่ 14’ ที่คณะราชทูตจากอาณาจักรอยุธยาอย่างออกพระวิสูตรสุนทร (ปาน) และ ‘พี่หมื่น’ ไปเข้าเฝ้าถึงพระราชวังแวร์ซาย

ภาพวาดพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (เครดิตภาพ HistoryHit)

ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 สาดแสงไปทั่วโลก ทั้งเป็นหนึ่งในมหาอำนาจยุโรป, ครอบครองดินแดนในทวีปอเมริกา, ตั้งสถานีการค้าที่อินเดีย, เจริญสัมพันธไมตรีกับอาณาจักรอยุธยา, และยังขยายดินแดนไปเรื่อยๆ ตลอดรัชสมัย

พระองค์ยังเป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก (72 ปี 110 วัน) และสามารถกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ มีอำนาจสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว แม้แต่ศาสนจักรที่คานอำนาจกับราชสำนักมาตลอดก็ถูกลิดรอนอำนาจในรัชสมัยนี้

จุดแข็งของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 คืออะไร?

กลยุทธ์สำคัญที่ถูกพูดถึงอย่างมากคือ การทำให้ขุนนาง ‘เชื่อง’ โดยการเรียกตัวขุนนางชนชั้นสูงให้มาเข้าเฝ้าและพำนักอยู่ใน ‘พระราชวังแวร์ซาย’ เป็นเวลานาน มอมเมาพวกเขาด้วยลาภยศ ของกำนัล งานเลี้ยงหรูหราที่ถูกจัดขึ้นทุกวัน

ในขณะเดียวกัน พระองค์ก็ลดทอนอำนาจอิทธิพลของขุนนางเหล่านั้น เช่น ห้ามมีกองทัพส่วน, ห้ามสืบทอดตำแหน่งทางราชการ, โยกย้ายนายทหารระดับสูง แล้วการพำนักในพระราชวังแวร์ซายเป็นเวลานาน ทำให้เหล่าขุนนางอยู่ในสายตาตลอดเวลา การสื่อสารทุกอย่างจะถูกตรวจสอบโดยสำนักราชวัง

อีกทั้งยังสนับสนุนชนชั้นกลางและชนชั้นล่างที่มีความสามารถและจงรักภักดี มอบลาภยศ แต่งตั้งให้เป็นขุนนางที่ทำหน้าที่จริงๆ ตามภาคส่วนราชการต่างๆ

ส่วนทางศาสนจักรใหญ่ที่มีอำนาจมาอย่างช้านาน ไม่ยอมถูกจำกัดอิทธิพลง่ายๆ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 จึงทรงอภิเษกสมรสใหม่กับมาดามเดอ เมนตีรงซึ่งเป็นคาทอลิกที่เคร่งครัด เพื่อขอแรงสนับสนุนจากพระสันตะปาปา ทั้งยังยกเลิกสิทธิต่างๆ ของชาวโปรเตสแตนต์ที่มีมาอย่างยาวนาน จนพวกเขาต้องอพยพลี้ภัยออกนอกประเทศ 

แต่นั้นก็ทำให้ภาษาฝรั่งเศสแพร่หลายไปยังรอบนอกและถูกใช้เป็นภาษากลางในการติดต่อสื่อสาร

สรุปแล้ว พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงมอมเมาขุนนางชนชั้นสูงด้วยลาภยศและสิ่งหรูหรา แต่ลิดรอนอำนาจอิทธิพล ในขณะเดียวกันก็มอบอำนาจในการทำงานให้กับขุนนางใหม่ที่แต่งตั้งมาจากชนชั้นล่างและชนชั้นกลาง ส่วนสถาบันศาสนาถูกบีบให้จำกัดสิทธิพิเศษ จนอำนาจเบ็ดเสร็จรวมอยู่ที่กษัตริย์แต่เพียงผู้เดียว



อำนาจที่ความยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับหนี้สินอันใหญ่ยิ่ง

อีกหนึ่งความสามารถที่โดดเด่นของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 คือ การมองเห็นความสามารถคน รู้ว่าใครเก่ง เก่งด้านไหน และจะเลี้ยงดูใช้งานได้อย่างไร จึงมีบุคลากรที่เก่งกาจอยู่รอบตัวอยู่มากมาย มิเชลล์ เลอ เทลีเยร์ (Michel Le Tellier) ก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาเป็นนักการทหารคนสำคัญที่สร้างกองทัพฝรั่งเศสให้ “ไร้เทียมทาน” สามารถเอาชนะกองทัพพันธมิตรมหาอำนาจในยุโรปได้หลายครั้ง

อย่างไรก็ตาม แม้อาณาเขตจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่เศรษฐกิจกลับตกต่ำลง เพราะใช้งบประมาณไปกับสงครามจนเป็นหนี้สาธารณะจำนวนมาก 

ที่จริงเศรษฐกิจในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เคยมั่งคั่งรุ่งเรืองจนถูกเรียกว่า ยุคทองทางเศรษฐกิจอยู่ช่วงหนึ่ง แต่มาตกต่ำลงอย่างมากในปลายรัชสมัย เพราะทำสงครามใหญ่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงเกิดสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงจนผลผลิตทางการเกษตรลดลง

ซื้อหนังสือปฎิวัติฝรั่งเศส The French Revolution : นายอินทร์, SE-ED, Kinokuniya

สู่การปฏิวัติ : เสรีภาพ ความเสมอภาค และภารดรภาพ

ปัญหาเศรษฐกิจที่มาพร้อมกับการทำสงครามอย่างต่อเนื่องมีมาตั้งแต่ปลายรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ดำเนินเรื่อยมาจนถึงพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 

  • กษัตริย์และขุนนางบางส่วนมีความพยายามที่จะแก้ไขปัญหา ลองมาหลายวิธี แต่ก็ยังล้มเหลว
  • ชนชั้นสูงบางกลุ่มยังคงเสวยสุขและไม่ยอมเสียสิทธิพิเศษง่ายๆ แม้แต่การจ่ายภาษีจำนวนมาก
  • สามัญชนถูกเรียกเก็บภาษีจำนวนมาก ทั้งยังไม่มีพืชผลขนมปังเพียงพอจนเริ่มอดตาย
  • ชนชั้นล่างและชนชั้นกลางได้รับการศึกษามากขึ้นมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มีนักปราชญ์เกิดขึ้นมากมาย พร้อมแนวคิดเสรีนิยมแพร่กระจายไปทั่วประเทศ

ทั้งหมดนี้นำไปสู่ การปฏิวัติฝรั่งเศสครั้งแรกในปี 1789 เมื่ออ่านมาถึงบทนี้ ซิสถึงได้ไขความเข้าใจผิดมาตลอดอยู่ 3 เรื่อง

1.) การนองเลือดครั้งใหญ่ไม่ได้เกิดจากกษัตริย์ – เคยคิดว่าสาเหตุมาจากกษัตริย์และราชวงศ์ยอมหักไม่ยอมงอ แต่ที่จริงพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ได้พยายามแก้ไขสถานการณ์มาอย่างยาวนานแล้ว จนเมื่อเกิดการปฏิวัติ พระองค์ก็ยอมปฏิญาณตนต่อ “ชาติ” ฝรั่งเศสรูปแบบใหม่แต่โดยดี เป็นราชาที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ

แต่การนองเลือดครั้งใหญ่เกิดจาก ‘ความศรัทธาในศาสนา’ คณะปฏิวัติบังคับให้ทุกคนหันมาจงรักภักดีต่อรัฐชาติฝรั่งเศสที่เพิ่งเกิดใหม่แทนราชวงศ์ รวมถึงศาสนจักรที่อยู่มาเป็นพันปี ผู้คนที่ศรัทธาในคริสตจักร โดยเฉพาะชาวชนบท ชนชั้นสูงและชนชั้นนักบวชจึงหันมาต่อสู้กับกองทัพปฏิวัติ เมื่อเห็นดังนั้น พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 จึงเปลี่ยนจากสนับสนุนการปฏิวัติเป็นต่อต้าน ผลสุดท้ายฝ่ายปฏิวัติได้รับชัยชนะ พร้อมกับกองซากศพของคนในชาติเดียวกันนับแสนคน

การนองเลือดครั้งใหญ่อีกครั้งยังมาจากการเข่นฆ่ากันเองของนักปฏิวัติด้วย แม้มีแนวคิดเสรีนิยมเหมือนกัน แต่ก็ยึดถือในหลักการต่างกัน เช่น บางกลุ่มต้องการราชาภายใต้รัฐธรรมนูญ บางกลุ่มก็ไม่ต้องการราชาเลย ความน่ากลัวคือ คนที่เห็นต่างหรือแม้แต่อยู่ทางสายกลาง จะถูกหาว่าเป็นกบฏและถูกประหารทิ้ง บางครั้งก็ไม่มีการไต่สวนก่อน จนถูกเรียกว่า ยุคแห่งความหวาดกลัว (Great Fear)

2.) พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ไม่ใช่กษัตริย์องค์สุดท้าย – ซิสเคยคิดว่าหลังจบการปฏิวัติปี 1789 ฝรั่งเศสก็เป็นประเทศประชาธิปไตยเลย แต่มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ฝรั่งเศสเกิดการปฏิวัติมาแล้วถึง 3 ครั้งในระยะเวลาเกือบศตวรรษ (ค.ศ. 1789 – ค.ศ. 1871)

เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้เล่าถึงการปฏิวัติครั้งแรกปี 1789 เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบัน แม้ว่าหลังจากนั้นในปี 1799 นโปเลียน โบนาปาร์ต จะก่อรัฐประหารและพาประเทศกลับสู่ระบบเผด็จการอีกครั้งก็ตาม ท้ายที่สุดแล้ว กษัตริย์องค์สุดท้ายของฝรั่งเศสคือ พระเจ้าหลุยส์-ฟิลิปที่ 1 ที่ถูกบังคับให้สละราชสมบัติในปี 1848 ในการปฏิวัติฝรั่งเศสครั้งสุดท้าย

3.) “ถ้าราษฎรไม่มีขนมปังจะกิน ก็ให้พวกเขากินเค้กสิ” ราชินีไม่ได้พูดสิ่งนี้ – นี่เป็นประโยคสุด ignorant อันโด่งดังและทำให้ชื่อเสีย(ง)ของ พระนางมารี อังตัวเน็ตต์ ดังกระฉ่อนมาหลายศตวรรษ (และคงจะถูกพูดถึงไปอีกยาวนาน) 

เราตัดสินพระองค์ทั้งชีวิตจากคำพูดแค่ประโยคเดียว ที่ไม่ได้พูดจริงๆ ด้วยซ้ำ!

แล้วมันมีที่มาจากไหนล่ะ?

ภาพวาดพระนางมารี อังตัวเน็ตต์กับองค์หญิงและองค์ชาย (เครดิตภาพ ThoughtCo.)

ประโยค “Qu’ils mangent de la brioche” หรือ “ก็ให้พวกเขากินเค้กสิ” ปรากฏขึ้นในหนังสือคำสารภาพ  (Rousseau’s Confessions) ของนักปราชญ์ชาวฝรั่งเศสคนสำคัญ ฌอง ฌากส์ รุสโซ ซึ่งมีการพูดถึง ‘เจ้าหญิงผู้ยิ่งใหญ่’ คนหนึ่ง แต่ตอนที่เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา เจ้าหญิงมาเรีย แอนโทเนีย (พระนามเดิมตอนยังเป็นเจ้าหญิงแห่งออสเตรีย) ยังเป็นองค์หญิงน้อยของต่างประเทศอยู่เลย จึงยากที่รุสโซจะหมายถึงพระองค์

ที่ประโยคนี้ถูกจับมาเข้าคู่กับองค์ราชินี เพราะหนังสือถูกตีพิมพ์แพร่หลายในช่วงพระนางมารีปกครองฝรั่งเศส แล้วพระนางก็เป็นราชินีที่ประชาชนไม่ปลื้ม เพราะมาจากประเทศศัตรูตลอดกาลอย่างออสเตรีย ใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือยในขณะที่ประชาชนอดอยาก รวมถึงแทรกแซงสงครามเพื่อผลประโยชน์ของจักรวรรดิโรมันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นประเทศของเสด็จแม่ เข้าข้างบ้านเกิดมากกว่าประเทศที่ตัวเองปกครอง

ท้ายที่สุด คำพูดสุดโด่งดังนี้จึงถูกใช้เป็นเครื่องมือใส่ร้ายป้ายสี เติมเชื้อไฟแห่งความเกลียดชัง จนกลายเป็นตราบาปที่ติดอยู่ในความทรงจำใครหลายคนว่า ‘พระนางมารี อังตัวเน็ตต์เป็นคนที่เพิกเฉยต่อความอดอยากของประชาชนและขาดความรู้ในสถานการณ์บ้านเมือง’

ซื้อหนังสือปฎิวัติฝรั่งเศส The French Revolution : นายอินทร์, SE-ED, Kinokuniya

สรุปแล้ว นี้เป็นหนังสือที่ไขข้อสงสัยและความเข้าใจผิดหลายๆ อย่าง รวมถึงให้มุมมองใหม่ๆ ยิ่งอ่าน ยิ่งอยากรู้เพิ่ม ยิ่งไปขุดหาข้อมูลต่อ ถึงได้รู้ว่ามันพลิกกลับไปกลับมาหลายรอบมาก กว่าฝรั่งเศสจะได้ประชาธิปไตยอย่างแท้จริงเหมือนในทุกวันนี้ มีวัฒนธรรมที่น่าหลงใหล กลายเป็นเมืองน้ำหอม เมืองแฟชั่น เมืองแห่งศิลปะ อาหารฝรั่งเศสก็โด่งดังไปทั่วโลก ผู้คนมีไลฟ์สไตล์รักอิสระ ทำงานเพื่อใช้ชีวิต ไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อทำงาน แบบที่เห็นในซีรีส์ Emily in Paris 

วิถีชีวิตที่แตกต่างจากยุคสมัยเก่าอย่างสิ้นเชิง

ทั้งหมดนี้เกิดมาจากอุดมการณ์อันแรงกล้า ความกล้าหาญ และความเสียสละของเหล่านักปราชญ์ นักปฏิวัติและประชาชนชาวฝรั่งเศสจากการปฏิวัติฝรั่งเศส



0 Shares
You May Also Like
รีวิวหนังสือสวรรค์ประทานพร

รีวิวหนังสือสวรรค์ประทานพร : เทพตกอับกับราชาผีคลั่งรัก

'องค์ไท่จื่อเซี่ยเหลียน' ลูกรักของสวรรค์กลับตกอับจนถูกเรียกว่าเทพขยะ แต่ทำไม 'ราชาผีฮวาเฉิง' ผู้ยิ่งใหญ่ถึงมาตามติดเขาต้อยๆ ได้ล่ะเนี่ย

สรุปหนังสือเจ้าชายน้อย: 4 ข้อคิดจากเด็กน้อยที่ผู้ใหญ่คนนี้เคยเป็น

วรรณกรรมอมตะสำหรับผู้ใหญ่ทุกคนที่หวนคิดถึงตัวตนในวัยเยาว์ที่เต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ ความกล้าหาญ ความฝัน และความเชื่อว่าตัวเองทำได้ทุกอย่าง
สรุปหนังสือผู้หญิงร้าย ผู้ชายรัก

สรุปหนังสือผู้หญิงร้าย ผู้ชายรัก : คัมภีร์แห่งการรักตัวเอง

รวม 9 ข้อคิดดีๆ จากหนังสือผู้หญิงร้าย ผู้ชายรัก 💋 ที่จะทำให้คุณหันมาให้เกียรติตัวเองในช่วงเวลาที่หลงรักคนอื่นจนหลงลืมที่จะรักตัวเอง
สรุปหนังสือ ศิลปะการอยู่ร่วมกับคนเฮงซวย

สรุปหนังสือ The Asshole Survival Guide : ศิลปะการอยู่ร่วมกับคนเฮงซวย

คู่มือรับมือคนเฮงซวยที่ช่วยให้เรารักษาชีวิตอันแสนสงบสุขด้วยการตัด “ปัญหาคนเฮงซวย” ทั้งแบบชั่วคราวและเรื้อรังอย่างฉลาดและบาดเจ็บน้อยที่สุด
สรุปหนังสือชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์ (Four Thousand Weeks)

สรุปหนังสือชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์ : 4 ข้อคิดในการบริหารเวลาชีวิต

"เพราะเราไม่ได้มีเวลา แต่เราคือเวลา" เมื่อเวลามีจำกัด แต่เรายังมีสิ่งมากมายบนโลกที่อยากทำ เราจะบริหารเวลาอย่างไรเพื่อให้ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย
สรุปหนังสือถึงโมโหก็อย่าสู้กับคนโง่

สรุปหนังสือถึงโมโหก็อย่าสู้กับคนโง่ : 3 วิธีดับความหัวร้อน

อย่าสิ้นเปลืองเวลาและพลังงานไปกับการสู้กับคนโง่เลย เพราะเป้าหมายสำคัญกว่าความสะใจเพียงชั่วคราว มาดูวิธีดับความหัวร้อนจากเล่มนี้กัน