สรุปหนังสือ The Little Book of Hygge : ฮุกกะ ปรัชญาความสุขฉบับเดนมาร์ก

0 Shares
0
0
0
0
0

#ReadersGarden เล่มที่ 40

หากพูดถึงประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกแล้ว ‘เดนมาร์ก’ คงเป็นหนึ่งในประเทศที่หลายคนนึกถึง โดยติดอันดับท็อป 3 ประเทศที่ผู้คนมีความสุขมากที่สุดในโลกตามรายงาน World Happiness Report มานับสิบปีตั้งแต่ปี 2012 จนได้รับยกย่องว่าเป็น ‘ประเทศมหาอำนาจแห่งความสุข’

ดัชนีชี้วัดความสุขของ World Happiness Report มีทั้งหมด 6 ปัจจัย ได้แก่ ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ต่อคน, สวัสดิการสังคม, สุขภาพและอายุเฉลี่ยของประชาชน, ระดับความมีเสรีภาพ, ความอดทนอดกลั้น,  และรายงานการทุจริตในประเทศ

อะไรทำให้ดินแดนเล็กๆ ที่ห่มคลุมไปด้วยความหนาวเหน็บ ฝนชื้นเกือบตลอดปี และเก็บภาษีในอัตราสูงที่สุดในยุโรปมีความสุขได้ขนาดนี้นะ?

คำตอบสั้นๆ คือ ฮุกกะ (Hygge) ศิลปะการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแบบชาวเดนิช

ถ้าจะให้คำแปล ‘ฮุกกะ’ สั้นๆ ในภาษาไทย คงหมายถึง ‘ความสุข’ หรือ ‘ความผ่อนคลายสบายใจ’ เทียบเคียงกับภาษาอังกฤษคำว่า Coziness/Cozy แต่นั่นยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด โดยฮุกกะคือศิลปะแห่งการสร้างความใกล้ชิดผูกพัน ความรู้สึกผ่อนคลายในจิตวิญญาณ รวมถึงการหาความสุขจากสิ่งรอบตัวในปัจจุบัน

“ฮุกกะเกี่ยวข้องกับบรรยากาศและประสบการณ์มากกว่าสิ่งของ การได้อยู่กับคนที่เรารัก ความรู้สึกของบ้าน ความรู้สึกปลอดภัย เราอาจสนทนาต่อเนื่องไม่จบสิ้นเกี่ยวกับเรื่องเล็กหรือใหญ่ในชีวิต หรือสบายใจเมื่ออยู่เงียบๆ ด้วยกัน หรือรื่นรมย์กับการดื่มชาสักถ้วยตามลำพัง” นี่เป็นคำขยายความที่ไมก์ วิกิง (Meik Wiking) ผู้เขียนกล่าวไว้ ไมก์เป็นผู้อำนวยการสถาบันวิจัยความสุขและตัวแทนนักวิจัยจากเดนมาร์กในสถาบันฐานข้อมูลความสุขโลก

ในหนังสือฮุกกะ ปรัชญาความสุขฉบับเดนมาร์ก (The Little Book of Hygge) เล่มนี้ ไมก์พาเราไปทำความรู้จักกับวิถีฮุกกะในหลากหลายแง่มุม ตั้งแต่การคบหาสมาคม, แนวคิด, อาหาร, เสื้อผ้า, การตกแต่งบ้าน, ฮุกกะนอกบ้าน, และท่องเที่ยวแบบฮุกกะ ซึ่งไม่ว่าชนชาติใด หรืออยู่ที่ไหนในโลกตาม ก็สร้างความฮุกกะในแบบฉบับของตัวเองได้

แน่นอนว่าพื้นที่แห่งความสุขกายสบายใจของแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน อย่างนิยามฮุกกะที่ไมก์ชอบเป็นพิเศษคือ ‘โกโก้ใต้แสงเทียน’ สำหรับซิสคือ ‘หนังสือริมหน้าต่างในวันฝนตก’ สำหรับคุณเองก็อาจจะเป็นสิ่งของอย่างอื่นในบรรยากาศอื่นๆ

ชาวเดนิชเองก็มีวิถีฮุกกะที่แตกต่างกันไป โดยสิ่งที่บอกเล่าในเล่มนี้มาจากการสำรวจทางสถิติ มาดูกันว่าสิ่งที่ชาวเดนิชเห็นพ้องต้องกันโดยส่วนใหญ่มาทำให้เกิดความฮุกกะมีอะไรบ้าง

1. ศิลปะแห่งการตกแต่งบ้านและไอเทมฮุกกะ

แม้ฮุกกะจะเกี่ยวข้องกับบรรยากาศและประสบการณ์มากกว่าสิ่งของ แต่สิ่งของละมุนใจก็เป็นตัวช่วยสร้างบรรยากาศให้เกิดความฮุกกะได้ง่ายขึ้น รวมถึงเริ่มต้นลงมือทำได้ง่ายที่สุดด้วย

บ้านเป็นศูนย์บัญชาการความฮุกกะ เนื่องจากประเทศเดนมาร์กถูกปกคลุมไปด้วยความมืดจากฤดูหนาวอันยาวนาน นอกจากไปทำงานแล้ว ชาวเดนมาร์กจึงใช้เวลาส่วนใหญ่จำศีลอยู่ในบ้าน นอกจากนี้ยังมักเชิญเพื่อนฝูงมาสังสรรค์ที่บ้าน เพื่อหลีกเลี่ยงค่าบริการสูงลิ่วของร้านอาหาร ดังนั้นชาวเดนมาร์กจึงใส่ใจกับการตกแต่งบ้านมาก ราวกับอยู่ในโชว์รูม IKEA ก็ว่าได้ มาดูไอเทมฮุกกะที่ขาดไปไม่ได้เลยกันค่ะ

เทียนไขและโคมไฟ : หากพูดถึงฮุกกะแล้ว 85% ของชาวเดนมาร์กจะนึกถึงเทียนไขเป็นอันดับแรก รวมถึงแสงจากหลอดไฟ ซึ่งชาวเดนมาร์กมองว่าเป็นศิลปะมากกว่าเป็นเพียงแค่เครื่องมือให้แสงสว่าง จึงใส่ใจกับรูปร่างของโคมไฟและวัตต์ของหลอดไฟมาก ยิ่งแสงสลัวละมุนมากเท่าไหร่ ยิ่งฮุกกะเท่านั้น

ส่วนเทียนไขกับฮุกกะเป็นของคู่กัน เช่นเดียวกับโคเปนเฮเกน เมืองหลวงของเดนมาร์กกับไฟไหม้ซึ่งอยู่คู่กันมาเป็นหลายร้อยปี ดังนั้นหากจะจุดเทียนไขเพื่อสร้างความฮุกกะ ควรเตรียมการรับมือป้องกันไฟไหม้อย่างใส่ใจ เพราะเหมือนที่โบราณว่าไว้ โจรปล้นสิบครั้งยังสูญเสียไม่เท่ากับไฟไหม้ครั้งเดียว

ฮุกกะโครก์ (มุมโปรด) : หามุมโปรดในบ้านที่คุณมักนั่งคุดคู้ แล้วจัดผ้าห่มไว้สักผืน หมอนอิงสักใบ หนังสือสักเล่ม ชาสักถ้วย จัดแสงให้ละมุนตา ให้มุมนั้นเป็นพื้นที่ปลอดภัยไว้ทิ้งตัวได้ทุกเมื่อ

ผลิตภัณฑ์จากไม้และธรรมชาติ : ชาวเดนมาร์กคลั่งไคล้ธรรมชาติถึงขนาดยกทั้งป่ามาไว้ในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นใบไม้ ดอกไม้ กิ่งไม้ หนังสัตว์ถูกนำมาประดับประดาเต็มบ้านเพื่อเติมความสดชื่น

✦ หนังสือเล่มโปรด : ไม่ว่าจะเป็นหนังสือวิชาการ นวนิยาย นิตยสาร หรือการ์ตูน หนังสือดีๆ สักเล่มช่วยเพิ่มความฮุกกะได้เสมอ

นอกจากนี้ยังไอเทมฮุกกะอื่นๆ เช่น ผลิตภัณฑ์เซรามิก, กาน้ำชาน่ารัก, เซตจานชามเข้าชุด, แก้วน้ำลายโปรด, หมอนและผ้าห่มนุ่มนิ่ม, และจดหมายจากคนที่ห่วงใย เป็นต้น

ไมก์แนะนำให้จัดเตรียมชุดอุปกรณ์ฮุกกะฉุกเฉินใส่กระเป๋าเดินทางไว้ เผื่อในวันที่คุณต้องเดินทางกะทันหัน ไปสัมมนา ทำงานต่างจังหวัด ออกทริปกับครอบครัว หรือวันที่อยากไปพักผ่อนคนเดียว จะได้มีไอเทมสร้างความฮุกกะติดตัวไว้เสมอ



2. ศิลปะแห่งการสร้างความผูกพันใกล้ชิด

ฮุกกะเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ การได้ใช้เวลากับคนที่คุณใส่ใจเป็นการสร้างความทรงจำที่ดีและเกิดความฮุกกะ โดยการสานสัมพันแบบฮุกกะมีดังนี้

✦ เท่าเทียม : “เรา” เหนือกว่า “ฉัน” ทุกคนแบ่งเบาภาระและแบ่งเวลาให้กัน เช่น ในช่วงเวลาสังสรรค์ฮุกกะกันที่บ้าน แขกจะนำของกินติดไม้ติดมือมาด้วยเสมอ ทุกคนช่วยกันเข้าครัวทำอาหารแทนที่จะปล่อยให้เจ้าบ้านทำคนเดียวหรือสั่งอาหารมากิน เพราะฮุกกะเป็นเรื่องของการมีประสบการณ์ ‘ร่วมกัน’

✦ ปรองดอง : ไม่มีการแข่งขัน พูดโอ้อวด หรือฝืนจนไม่เป็นตัวของตัวเอง เพราะเราชอบทุกคนที่มาอยู่ร่วมกัน ณ ที่นี่อยู่แล้ว

✦ งดดราม่า : หัวข้อที่นำไปสู่ความขัดแย้งได้ง่าย เช่น การเมือง ถือเป็นเรื่องต้องห้ามในช่วงเวลาฮุกกะ

ซื้อหนังสือฮุกกะ ปรัชญาความสุขฉบับเดนมาร์ก (The Little Book of Hygge) : นายอินทร์, SE-ED, Kinokuniya

3. อาหารและเครื่องดื่ม

ว่ากันว่าความสุขหาซื้อไม่ได้ แต่เราซื้อของหวานและอาหารอร่อยๆ ได้ ซึ่งก็คล้ายคลึงกัน สำหรับเดนมาร์กซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่คลั่งไคล้ขนมหวานมากที่สุด ของหวานเป็นสิ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่วันพิเศษหรือ Cheat day 

ตามออฟฟิศและห้องประชุมจะมีขนมหวานวางไว้เสมอ วันไหนที่มีลูกค้าเข้ามาประชุมด้วยก็จะมี Petit four (ขนมหวานขนาดพอดีคำ) วางเพิ่มไปด้วย ในขณะที่งานวันเกิดของเด็กๆ ชาวอเมริกาจะมีซุปเปอร์ฮีโร่อย่างแบทแมนหรือไอรอนแมน ส่วนเด็กๆ ชาวเดนมาร์กจะมีเค้กแมน (kagemand) แสดงให้เห็นถึงความรักที่มีต่อขนมหวานของชาวเดนมาร์ก

สำหรับเครื่องดื่มต้องเป็นเครื่องดื่มร้อน โดยเฉพาะกาแฟ หากคุณได้ใช้ชีวิตในเดนมาร์ก จะพบว่าคำว่า ‘คาฟฟีฮุกกะ’ ซึ่งสนธิมาจาก coffee + hygge อยู่ทั่วทุกหนแห่ง ยังมีคำขวัญที่ว่า “ใช้ชีวิตวันนี้ให้สุด เหมือนวันพรุ่งนี้ไม่มีกาแฟแล้ว” ด้วย

สำหรับพวกเราหลายคน กาแฟเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับการทำงาน เราดื่มกาแฟเพื่อจะได้ทำงานได้มากขึ้นหรืออ่านหนังสือโต้รุ้งได้ แต่สำหรับชาวเดนมาร์ก การดื่มกาแฟอุ่นๆ ท่ามกลางอากาศหนาวถือเป็นความสุนทรีย์ ได้ตื่นตัวเพื่อพบปะเพื่อนฝูงและใช้ชีวิตฮุกกะมากขึ้น

แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่าตัวอาหาร คือการทำอาหารทานเอง แม้ว่ารสชาติอาจจะไม่เลิศเลอเหมือนอาหารจากร้านโปรดและหมดเวลาเข้าครัวไปเป็นวันๆ แต่นั่นแหละคือความฮุกกะ ยิ่งใช้เวลาจัดเตรียมนานเท่าไหร่ ยิ่งฮุกกะมากเท่านั้น เพราะเราได้ดื่มด่ำกับช่วงเวลาที่ใช้จัดเตรียม สุขใจกับการได้ทำสิ่งที่มีคุณค่า ใช้ชีวิตอย่างละเมียดละไม และกลายเป็นความทรงจำให้หวนนึกถึง

4. ฮุกกะกับการทำงาน

ฮุกกะเป็นสิ่งที่อยู่ในวิถีชีวิตชาวเดนิช สถานที่ทำงานเองก็มีความฮุกกะเช่นกัน โดยออฟฟิศถูกตกแต่งหลอดไฟแสงละมุนตา มีเทียนไข มีของหวานและเค้กวางอยู่ทั่วไป กาแฟที่เติมได้ไม่อั้น!

ในซีรีส์ Emily in Paris ที่มีตัวเอก เอมิลี สาวอเมริกันสุดสวยและเก่งมาทำงานอยู่ในมหานครปารีส แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมการทำงานหลายอย่างระหว่าชาวอเมริกันและชาวฝรั่งเศส ที่เห็นชัดอย่างหนึ่งคือ “เราทำงานเพื่อใช้ชีวิต ไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อทำงานนะเอมิลี” และ “ที่ฝรั่งเศส การทำงานในวันหยุดผิดกฏหมายนะ” 

ชาวเดนมาร์กก็ไม่ต่างอะไรจากชาวฝรั่งเศส ไมก์บรรยายไว้ว่า “เมื่อถึงเวลาห้าโมงเย็น สถานที่ทำงานของชาวเดนมาร์กเหมือนภาพตอนเปิดเรื่องการ์ตูนมนุษย์หินฟลินต์สโตน (บ่งบอกอายุเลย 😂) ทุกคนจะหายไปหมดก่อนคุณจะร้องว่า ‘ยับบาดับบาดู!’ จบด้วยซ้ำ คนที่มีลูกมักออกจากที่ทำงานตั้งแต่สี่โมงเย็น ผมในฐานะผู้จัดการทีมหลีกเลี่ยงไม่จัดประชุมที่อาจเลิกหลังสี่โมงหากคนในทีมมีลูก เพื่อให้พวกเขาได้ไปรับลูกได้ตามเวลาปกติ”

ชาวเดนมาร์กมีชั่วโมงการทำงานสั้นกว่าชนชาติอื่นๆ โดยเฉลี่ยที่ 37 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในขณะที่ทั่วโลกเฉลี่ยที่ 40-44 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ส่วนประเทศไทยเฉลี่ยที่ 40-48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

สิ่งนี้ทำให้พวกเขาได้ใช้เวลาส่วนตัว อยู่กับครอบครัวและสังสรรค์กับคนอื่นมากขึ้น โดย 78% ของชาวเดนมาร์กสังสรรค์กับผู้อื่นอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ในขณะที่ตัวเลขเฉลี่ยของชาวยุโรปอยู่ที่ 60% นอกจากนี้เวลาที่มากมาย ทำให้พวกเขาได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันอย่างมีคุณภาพ ไม่เร่งรีบ

5. ท่องเที่ยวและกิจกรรมสไตล์ฮุกกะ

ฮุกกะนั่นถ่อมตัว เชื่องช้า ดังนั้นการท่องเที่ยวแบบฮุกกะจึงไม่เกี่ยวกับราคา แต่เกี่ยวกับบรรยากาศที่เป็นกันเอง ได้ใช้เวลาร่วมกันคนที่ทำให้คุณสบายใจ ได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ไม่วุ่นวาย พักผ่อนกายและจิตใจอย่างเต็มที่ 

ไมก์แนะนำกิจกรรมท่องเที่ยวสไตล์ฮุกกะไว้มากมาย เช่น แคมป์ปิ้งรอบกองไฟ, นอนดูฝนดาวตก, เล่นสกี, เดินป่า, ปิกนิกริมหาด, เก็บเห็ด, พักผ่อนในกระท่อมสุดสัปดาห์ เป็นต้น 

บางกิจกรรมอาจจะทำได้ยากสำหรับเมืองไทยหรือในสถานการณ์ COVID-19 แบบนี้ แต่เราก็สามารถจัดกิจกรรมฮุกกะแบบประหยัดที่บ้านได้ เช่น เกมกระดาน,​ ปาร์ตี้ชุดนอน, ค่ำคืนหน้าจอ ดูหนังกับเพื่อน, ปาร์ตี้บาร์บีคิวในสวนหลังบ้าน (หรือปาร์ตี้หมูกระทะก็ได้อยู่นะ), จัดมุมห้องสมุดสุดผ่อนคลายไว้ในบ้าน เป็นต้น

ด้านมืดของฮุกกะ

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฮุกกะยังมีความฮุกกะคือ การอยู่เป็นกลุ่มเล็กๆ เฉพาะคนที่สนิทใจกันเท่านั้น ชาวเดนมาร์กกังวลว่ายิ่งคนมาก ยิ่งฮุกกะน้อยลง จึงเป็นข้อจำกัดของวิถีฮุกกะแบบชาวเดนิชที่เปิดใจรับคนใหม่ๆ เข้ามายาก แต่หากทะลุกำแพงเข้ามาอยู่ในวงฮุกกะได้แล้ว ก็อาจจะได้เจอมิตรภาพที่ยาวนานตลอดชีวิต

วิถีชีวิตฮุกกะแทบจะตรงกันข้ามกับ Hustle Culture ที่เราอยู่โดยสิ้นเชิง ทางลงทุนแมนนิยามคำนี้ไว้ได้ตรงทีเดียวคือ ‘วัฒนธรรมคลั่งงาน’ งานและความก้าวหน้าในชีวิตเป็นสิ่งสำคัญที่สุด รู้สึกผิดเมื่ออยู่เฉยๆ ต้องมีเป้าหมาย ตารางงานต้องแน่น ต้องหากิจกรรมทำตลอดเวลา ชื่นชมคนทำงานหนักและมองว่าคนที่อยู่เฉยๆ เป็นคนลอยชายหรือขี้เกียจ

ส่วนตัวซิสสนุกไปกับ Hustle Culture แต่ก็ชื่นชมวิถีชีวิตฮุกกะ หากเราผสมผสานความฮุกกะลงไปในการทำงานหนัก จะสร้างสมดุลได้ดีขึ้น เช่น ตกแต่งห้องทำงานด้วยไอเทมฮุกกะเพื่อสร้างบรรยากาศผ่อนคลายและสร้างสรรค์, ในขณะที่เราใช้เวลากับคนอื่นเพื่อสร้างเครือข่ายและผลักดันความก้าวหน้าในการงานอาชีพ เราก็เลือกที่จะแบ่งเวลามาสังสรรค์ฮุกกะกับคนสนิทได้เช่นกัน, ทำงานหนักเพราะเราเลือกที่จะสนุกไปกับมันเอง อย่าโหมทำงานหนักเพียงเพราะเห็นคนรอบข้างทำ เป็นต้น

ขอทิ้งท้ายด้วยบทกวีอันโด่งดังในเดนมาร์กที่ว่าด้วยการดื่มด่ำกับปัจจุบันและสนุกกับความสุขเรียบง่าย ซึ่งสะท้อนวิถีชีวิตฮุกกะได้อย่างดี

Look, real daylight soon
Red sun and waning moon
She takes a shower for me
Me whom it’s good to be
Life’s not so bad for it’s all we have got
And the coffee’s almost hot.

บทแรกจากกวี The Happy Day of Svante โดย Benny Andersen

อีกสิ่งที่ได้เห็นจากหนังสือคือ คุณภาพชีวิตของชาวเดนมาร์ก จ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก 22%-55.90% ของไทยอยู่ที่ 5%-35% ซึ่งการจ่ายภาษีคือการลงทุนกับคุณภาพชีวิต คุ้มค่า สิ่งที่สะท้อนถึงคุณภาพชีวิตชาวเดนมาร์กอย่างหนึ่งคือ เรื่องอื้อฉาวของแจกันเคห์เลอร์ (Kahler Vase Scandal) เป็นแจกันรุ่นพิเศษที่ถูกทำเพื่อฉลองครบรอบก่อตั้งบริษัท ปรากฏว่ามีชาวเดนมาร์ก 16,000 คนพยายามสั่งซื้อออนไลน์ในวันเปิดตัวแจกันจนเว็บล่ม ผู้คนพากันต่อคิวยาวหน้าร้านที่มีขายเหมือนกับแย่งกันซื้อบัตรคอนเสิร์ต บริษัทผู้ผลิตถูกประชาชนโจมตีว่าผลิตในปริมาณจำกัด 

ซื้อหนังสือฮุกกะ ปรัชญาความสุขฉบับเดนมาร์ก (The Little Book of Hygge) : นายอินทร์, SE-ED, Kinokuniya

ถามว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตชาวเดนมาร์กยังไง? ไมก์ได้ให้เหตุผลว่า เมื่อลองคิดถึงชาวเดนมาร์กที่มีชั่วโมงทำงานระหว่างสัปดาห์สั้นกว่าชาติอื่น มีบริการสาธารณสุขและการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยฟรี มีวันหยุดแบบได้ค่าจ้างถึงปีละ 5 สัปดาห์อีกด้วย การไม่ได้แจกันนี้มาครอบครองจึงถือเป็นหนึ่งในเรื่องเลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นกับพวกเขาเหล่านั้นเลย คือคุณภาพชีวิตดีจัด จนเรื่องที่น่าปวดหัวที่สุดคือการแย่งแจกันมาแต่งบ้านกัน 😂

เรื่องนี้ทำให้เรากลับมาย้อนดูสังคมของเราเอง ว่าเราจะทำยังไงให้ภาษีที่เราจ่ายไปคุ้มค่า ปัญหาที่เราได้เห็นจากรุ่นคุณตามาถึงคุณแม่มาถึงรุ่นเรา น่าขนลุกที่คิดว่ามันยาวต่อไปในรุ่นลูกรุ่นหลาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่พบได้ทุกวันอย่างทางเท้า, ถนนขรุขระ, เสาไฟถนน, สาธารณูปโภค หากใครสนใจว่าจ่ายภาษีไป ได้อะไรกลับมา ลองอ่านบทความจาก Urban Creature ได้ค่ะ



0 Shares
You May Also Like
รีวิวหนังสือสวรรค์ประทานพร

รีวิวหนังสือสวรรค์ประทานพร : เทพตกอับกับราชาผีคลั่งรัก

'องค์ไท่จื่อเซี่ยเหลียน' ลูกรักของสวรรค์กลับตกอับจนถูกเรียกว่าเทพขยะ แต่ทำไม 'ราชาผีฮวาเฉิง' ผู้ยิ่งใหญ่ถึงมาตามติดเขาต้อยๆ ได้ล่ะเนี่ย

สรุปหนังสือเจ้าชายน้อย: 4 ข้อคิดจากเด็กน้อยที่ผู้ใหญ่คนนี้เคยเป็น

วรรณกรรมอมตะสำหรับผู้ใหญ่ทุกคนที่หวนคิดถึงตัวตนในวัยเยาว์ที่เต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ ความกล้าหาญ ความฝัน และความเชื่อว่าตัวเองทำได้ทุกอย่าง
สรุปหนังสือผู้หญิงร้าย ผู้ชายรัก

สรุปหนังสือผู้หญิงร้าย ผู้ชายรัก : คัมภีร์แห่งการรักตัวเอง

รวม 9 ข้อคิดดีๆ จากหนังสือผู้หญิงร้าย ผู้ชายรัก 💋 ที่จะทำให้คุณหันมาให้เกียรติตัวเองในช่วงเวลาที่หลงรักคนอื่นจนหลงลืมที่จะรักตัวเอง
สรุปหนังสือ ศิลปะการอยู่ร่วมกับคนเฮงซวย

สรุปหนังสือ The Asshole Survival Guide: ศิลปะการอยู่ร่วมกับคนเฮงซวย

คู่มือรับมือคนเฮงซวยที่ช่วยให้เรารักษาชีวิตอันแสนสงบสุขด้วยการตัด “ปัญหาคนเฮงซวย” ทั้งแบบชั่วคราวและเรื้อรังอย่างฉลาดและบาดเจ็บน้อยที่สุด
สรุปหนังสือชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์ (Four Thousand Weeks)

สรุปหนังสือชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์: 4 ข้อคิดในการบริหารเวลาชีวิต

"เพราะเราไม่ได้มีเวลา แต่เราคือเวลา" เมื่อเวลามีจำกัด แต่เรายังมีสิ่งมากมายบนโลกที่อยากทำ เราจะบริหารเวลาอย่างไรเพื่อให้ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย
สรุปหนังสือ Omotenashi โอโมเตนาชิ จิตวิญญาณการบริการแบบญี่ปุ่น

สรุปหนังสือโอโมเตนาชิ : การบริการแบบญี่ปุ่นที่ประทับใจไม่รู้ลืม

เรียนรู้วิถีโอโมเตนาชิ (Omotenashi) หรือการบริการอย่างใส่ใจแบบชาวญี่ปุ่นที่เกินความคาดหวังลูกค้าจนประทับใจไม่รู้ลืม