#ReadersGarden เล่มที่ 59
ขอแนะนำหนังสือเล่มนี้ให้กับทุกคนที่กำลังค้นหาเป้าหมายชีวิต (Purpose of Life) ค่ะ แค่ได้อ่านแล้วคิดตามหนังสือ ก็รู้สึกว่าชีวิตสนุกเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อยแล้ว ☺️
ในหนังสือเรียกคำว่า ‘เป้าหมายชีวิต’ ด้วยตัวย่อว่า ปมช. ซิสจึงจะขอเรียกตามหนังสือค่ะ
ตอนที่ได้เจอกับหนังสือ The Why Café คาเฟ่สำหรับคนหลงทาง ของจอห์น สเตรเลกกี (John Strelecky) เหมือนฟ้าประทานมาในจังหวะที่ชีวิตต้องการพอดี เพราะเป็นช่วงที่ซิสครุ่นคิดเกี่ยวกับ ปมช. อยู่บ่อยๆ เมื่อไม่มี ปมช. เราก็ไม่รู้ว่าจะตื่นมาในตอนเช้าทำไม ซึ่งหนังสือเล่มนี้ได้ให้แนวทางเกี่ยวกับการค้นหา ปมช. โดยไม่ได้บอกคำตอบโดยตรง แต่จะให้เราหาคำตอบเองผ่านคำถามแปลกๆ ในเมนูอาหารเล่มหนึ่ง
เรื่องย่อ The Why Café
จอห์น ชายหนุ่มที่ไม่เพียงกำลังหลงทางอยู่บนถนนสายเปลี่ยวอันมืดมิด แต่กำลังหลงทางชีวิตอีกด้วย เขาหลงมาจนพบกับ The Why Are You Here Café ร้านอาหารที่ตั้งอยู่อย่างสันโดษตอนกลางดึก ร้านอาหารแห่งนี้ไม่เหมือนกับที่ไหนๆ มีทั้ง เคซีย์ พนักงานเสิร์ฟสาวที่ชอบยิ้มอย่างมีเลศนัย ไมค์ เชฟอารมณ์ดีที่เป็นเจ้าของร้าน และเมนูอาหารที่คำถามแปลกๆ 3 ข้อ
✦ ทำไมคุณถึงมาที่นี่
✦ คุณกลัวตายไหม
✦ คุณพึงพอใจกับชีวิตหรือยัง
เปิดมาด้วยบรรยากาศหลอนๆ แบบนี้ ถ้านี่เป็นหนังสือหมวดสยองขวัญ เราคงจินตนาการต่อได้เลยว่าจะเกิดเรื่องน่ากลัวแบบไหนกับจอห์น แต่ที่จริงแล้วเรื่องน่ากลัวเดียวที่เกิดขึ้นกับจอห์นคือ เขาเองก็ไม่รู้คำตอบของคำถามเหล่านี้ ดังนั้นเราจะมาหาคำตอบไปด้วยกันกับจอห์นผ่านบทสนทนากับสาวเสิร์ฟ เชฟเจ้าของร้าน และลูกค้าที่แวะผ่านมา
ซื้อหนังสือ The Why Café คาเฟ่สำหรับคนหลงทาง : นายอินทร์, SE-ED, Kinokuniya
ทำไมคุณถึงมาที่นี่
มองผิวเผินเหมือนกำลังถามว่าคุณมาที่คาเฟ่แห่งนี้ทำไม แต่หากพิจารณาในแง่มุมของชีวิต ประโยคนี้กำลังตั้งใจถามคุณว่า ‘คุณมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรกันแน่?’
คำถามที่ไม่ได้ให้คุณตอบใคร แต่ให้ตอบตัวเองว่า ‘ปมช. (เป้าหมายชีวิต) ของฉันคืออะไร?’ และ ‘ตอนนี้ฉันได้ทำสิ่งที่เกี่ยวข้องกับ ปมช. อยู่หรือเปล่า?’
ว่าแต่ทำไมเราต้องมี ปมช. ? สำหรับเรา ปมช. คือสิ่งที่ทำให้อยากจะตื่นนอนในตอนเช้าในทุกๆ วัน เพื่อให้ได้ใช้ชีวิตทำในสิ่งที่อยากทำ เรียบง่ายแค่นั้นเลย ดังนั้นในวันที่ ปมช. หายไป เราก็ไม่รู้ว่าจะตื่นมาทำไม
ปมช. ของแต่ละคนแตกต่างกันไป อาจจะเป็นการเป็นมหาเศรษฐี มีอำนาจ มีชื่อเสียง ท่องเที่ยวทั่วโลก มีครอบครัวที่อบอุ่น ได้ช่วยเหลือผู้คน ได้ทานอาหารอร่อยๆ เลี้ยงแมว ติดตามไอดอล ดูหนังสนุกๆ เล่นเกมที่ชอบ เป็นต้น ไม่ว่าจะเป็น ปมช. ที่ซับซ้อนหรือเรียบง่าย ทำได้ง่ายหรือทำได้ยาก มันก็เป็นสิ่งสำคัญที่ขับเคลื่อนให้เราได้ใช้ชีวิตจริงๆ ไม่ใช่แค่มีชีวิตเพื่อหายใจเฉยๆ
คุณกลัวตายไหม
หากมองอีกมุมของคำถามข้อนี้คือ ‘หากคุณตายวันนี้ คุณจะรู้สึกเสียดายชีวิตไหม?’ คำถามนี้ทำให้นึกถึงบทสัมภาษณ์ผู้สูงอายุหรือคนป่วยใกล้เสียชีวิต พวกเขาส่วนใหญ่มักจะไม่เสียดายในสิ่งที่ทำลงไป หรือสิ่งที่เคยทำผิดพลาด แต่จะเสียดายสิ่งที่ยังไม่ได้ทำมากกว่าโดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับ ปมช. จึงมีความรู้สึกยังไม่พร้อมจะจากโลกนี้ไป
คนที่หวาดกลัวความตายจึงมักเป็นคนที่ไม่ได้ใช้ชีวิตตาม ปมช. เพราะยิ่งเวลาผ่านไป เรายิ่งเข้าใกล้การไม่มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่อยากทำมากขึ้น มันคืออนาคตที่ไม่เหลือโอกาส
ดังนั้นหากคุณค้นพบ ปมช. แล้ว อย่ากลัวทำผิดพลาดหรือความล้มเหลวเลย เพราะสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือการไม่มีโอกาสได้ทำมันแล้ว
คุณพึงพอใจกับชีวิตหรือยัง
ก่อนจะตอบคำถามนี้ มาดูกันก่อนว่าแล้ว ‘อะไร’ ที่ทำให้เราพึงพอใจกับชีวิต เงินทอง? อำนาจ? ชื่อเสียง? คนรัก? เพื่อนฝูง? ข้าวของ? หรือทั้งหมดที่กล่าวมา? แล้วต้องมีมากแค่ไหนเราถึงจะพอใจ? คงไม่มีใครตอบได้นอกจากตัวของคุณเอง เพราะคำตอบย่อมแตกต่างกันไปตาม ปมช. ของแต่ละคน
เหมือนกับเรื่องราวของนักธุรกิจกับชาวประมงในเล่มนี้ เมื่อนักธุรกิจได้เจอกับชาวประมงคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายอย่างมีความสุขกับครอบครัว นักธุรกิจเห็นว่าชาวประมงคนนั้นมีศักยภาพและมีเวลาเหลือในแต่ละวัน เขาจึงแนะนำโมเดลธุรกิจอันชาญฉลาดที่จะช่วยให้ชาวประมงร่ำรวยขึ้นมา ซึ่งชาวประมงจะต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อแลกกับเงินทองที่ได้เพิ่มขึ้น
ชาวประมงจึงถามกลับนักธุรกิจว่า ‘แล้วผมจะร่ำรวยไปทำไม?’ นักธุรกิจตอบทันทีว่า ‘ก็เพื่อจะได้ใช้ชีวิตสบายๆ ได้ทำสิ่งที่อยากทำตอนเกษียณน่ะสิ!’ เมื่อมีเงินมากพอ เราจะได้ทำในสิ่งที่ต้องการ มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ชอบอย่างอิสระ และมีชีวิตในแบบที่ตัวเองพึงพอใจได้ทุกวัน
หากเป็นเช่นนั้น ชาวประมงก็กำลังใช้ชีวิตแบบนั้นอยู่แล้ว เขาได้ทำอาชีพที่ชอบ เลี้ยงดูครอบครัวได้ มีเวลาไปส่งลูกๆ ที่โรงเรียน ได้ใช้เวลากับภรรยา ว่างๆ ก็ไปตกปลากับเพื่อนๆ เขาสามารถใช้ชีวิตแบบที่พึงพอใจได้ทุกวันแม้จะไม่มีเงินทองมากมายเท่านักธุรกิจ
ชาวประมงทำให้เราเห็นว่า ทำไมต้องใช้เวลามากมายไปกับการเตรียมตัวเพื่อที่จะได้ทำในสิ่งที่ต้องการ แทนที่จะลงมือทำตั้งแต่ตอนนี้เลย ในเมื่อทุกวันคือโอกาสที่จะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
เรื่องนี้ไม่ได้บอกให้เราเลิกทะเยอทะยาน เพียงแต่เมื่อเรารู้ว่าแค่ไหนถึงจะพอดีกับชีวิตเราโดยไม่ต้องยึดติดกับมาตรฐานของคนอื่น เราจะเลิกกังวลกับเรื่องที่เราไม่ได้ต้องการมันจริงๆ เช่น ทรัพย์สินเงินทอง, สถานะทางสังคม, การเลื่อนตำแหน่ง เป็นต้น
เราคือผู้ควบคุมระดับความพึงพอใจของตัวเอง แต่บ่อยครั้งที่ใครหลายคนมักปล่อยให้คนอื่นเป็นผู้มีอำนาจควบคุมความพอใจ ดังนั้นไม่ว่าเราจะถูกสอนมาว่าอะไร ได้ยินอะไรจากโฆษณา หรือรู้สึกยังไงเวลาที่ตึงเครียดจากการทำงาน อย่าลืมว่าเราเป็นผู้ควบคุมทุกช่วงเวลาของชีวิตตัวเอง
คุณกำลังเสียเวลาไปกับเรื่องที่ไม่ได้ใส่ใจจริงๆ มากน้อยแค่ไหน
ตอนที่คุยกันเรื่อง ปมช. ว่าในแต่ละวันเราทุกคนทำอะไรกันตั้งมากมาย แต่หากสิ่งที่ทำไม่ได้เกี่ยวข้องกับ ปมช. เลย มันก็ยากที่เราจะรู้สึกพอใจในชีวิต
จอห์นจึงลองคำนวณว่า เขาใช้เวลาอ่านจดหมายกับอีเมลที่ไม่ได้ใส่ใจจริงๆ วันละ 20 นาที 6 วันต่อสัปดาห์ เริ่มทำตั้งแต่ที่เขาจบมหาวิทยาลัยตอนอายุ 22 ปี หากเขาทำพฤติกรรมนี้ไปจนถึงอายุขัยโดยเฉลี่ยของมนุษย์คือ 75 ปี เท่ากับว่าเขาหมดเวลาประมาณ 229 วันหรือเกือบหนึ่งปีไปกับจดหมายขยะ
เมื่อลองคำนวณตามจอห์น มันทำให้ตกใจว่าหากเราไม่ระมัดระวัง เราจะเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่สำคัญมากขนาดไหน เช่น ไถฟีดโซเชียลมีเดียแบบเรื่อยเปื่อยวันละ 3 ชั่วโมง, เลือกอาหารในแอปเดลิเวอรีไปเรื่อย สุดท้ายก็กินเมนูเดิมวันละ 30 นาที, เหม่อลอย ติดอยู่ห้วงแห่งจินตนาการวันละ 1 ชั่วโมง ถ้าเรายังใช้ชีวิตแบบนี้ไปจนถึงอีก 40 ปีข้างหน้า เราจะหมดเวลากับเรื่องเหล่านี้รวมแล้ว 7.5 ปี! 😱 ที่ผ่านมาฉันทำอะไรอยู่
สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าเราต้องใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพทุกวินาที ห้ามเหม่อลอย ห้ามเรื่อยเปื่อย หรือห้ามผ่อนคลาย แต่มันทำให้ตระหนักว่าเรากำลังเสียเวลาไปกับเรื่องที่ไม่ได้ใส่ใจมากเกินไปหรือเปล่า แทนที่จะได้ใช้เวลาทำสิ่งที่ใส่ใจจริงๆ
อย่างกรณีของจอห์น เขาก็ยังคงต้องเช็คอีเมลเพราะอาจจะมีสารสำคัญปะปนอยู่ก็ได้ เพียงแต่ต้องหาวิธีใช้เวลากับมันน้อยลง เริ่มจากการยกเลิกการรับข่าวสารจากช่องทางที่ไม่ต้องการ จัดหมวดหมู่ข้อความ เพื่อลดเวลาที่เสียไปกับอีเมลเหล่านี้
กับดักโฆษณากับความพึงพอใจในชีวิต
หน้าที่ของโฆษณาคือการทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าชีวิตฉันจะดีขึ้นหากฉันได้สิ่งของเหล่านั้นมา ดังนั้นเราจึงถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กว่า ความพึงพอใจในชีวิตมาจากสิ่งของบนโฆษณา
ปัญหาคือเราต้องใช้เงินเพื่อซื้อความพึงพอใจเหล่านั้น เราจึงต้องทำงานที่อาจจะไม่ใช่งานในอุดมคติเพื่อหาเงินซื้อมัน แม้จะบอกตัวเองว่านี่เป็นแค่เรื่องชั่วคราว แต่สุดท้ายเราก็เสียเวลามากมายไปกับงานที่เราไม่ได้อยากทำ ข้อความนี้ทำให้นึกถึงคำคมอันโด่งดังจากภาพยนตร์ Fight Club (1999) เลยค่ะ
“คำโฆษณาทำให้เห่อของฟุ่มเฟือย
– Tyler Durden, Fight Club (1999)
ทำงานที่เราเกลียดเพื่อมีเงินซื้อของไม่จำเป็น
เราเป็นเด็กยุคกลางของประวัติศาสตร์ไร้จุดประสงค์ใดๆ
เราไม่มีศึกใหญ่ ไม่มีความกดดัน
ศึกใหญ่ของเราคือศึกจิตวิญญาณ
ความกดดันของเราคือชีวิต
เราถูกเลี้ยงมาโดยโทรทัศน์ที่ให้เชื่อว่า
สักวันเราจะเป็นเศรษฐี เป็นดารา ร็อคสตาร์ ซึ่งไม่มีทาง
เราเรียนรู้ความจริงนั้นอย่างช้าๆ
มันทำให้เราโกรธ โกรธมากๆ”
แน่นอนว่าโลกแห่งความเป็นจริงไม่ง่ายเหมือนเรื่องราวของชาวประมง ใช่ว่ามีเพียงปลาอิ่มท้องแล้วจะพึงพอใจ ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในชีวิตประจำวันและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจอีก แต่สิ่งสำคัญที่เราได้ตระหนักจากชาวประมงคือ เรากำลังทำงานเพื่อใช้ชีวิตหรือใช้ชีวิตเพื่อทำงานกันแน่
หากเรายังติดกับดักโฆษณา เราคงจะได้แต่ชะเง้อคอมองดูอนาคตว่า เมื่อไหร่จะได้เลิกทำงานที่ตัวเองไม่ชอบแล้วใช้ชีวิตแบบที่ต้องการเสียที
สุดท้ายนี้ The Why Café ไม่ได้บอกวิธีค้นหา ปมช. แบบตรงๆ แต่ให้เราค้นหามันเองผ่านคำถาม 17 ข้อท้ายเล่มที่จะทำให้เราได้ทบทวนชีวิตและสิ่งที่ชีวิตต้องการ เช่นเดียวกันกับจอห์นที่ไม่ได้ค้นพบ ปมช. ทันทีที่เดินออกจากคาเฟ่แห่งนั้น มันต้องใช้เวลาคิดนานกว่านั้นมาก แต่เขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลง เริ่มจากการอุทิศเวลาเล็กๆ น้อยๆ ทำสิ่งที่ชอบทุกวันจากที่เคยทำแต่สิ่งที่จำเป็นต้องทำ พยายามฉกฉวยโอกาสที่เข้ามา เสาะหาจังหวะเรียนรู้และลองทำสิ่งใหม่ๆ เพื่อขยายจักรวาลความเป็นไปได้ของคำตอบ
ซื้อหนังสือ The Why Café คาเฟ่สำหรับคนหลงทาง : นายอินทร์, SE-ED, Kinokuniya
ขอส่งท้ายบทความนี้ด้วยคำพูดดีๆ ที่ไมค์พูดบอกลาจอห์นค่ะ
“พระอาทิตย์ตกอยู่ตรงนั้น คลื่นกระทบฝั่งตรงนั้น มันอยู่มาเป็นเวลาหลายพันล้านปีแล้ว เมื่อคิดได้ดังนั้น ผมพลันรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กจิ๋ว ปัญหาต่างๆ เรื่องต่างๆ ที่รู้สึกกดดัน รวมถึงความวิตกกัวลเกี่ยวกับอนาคต สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนจะหมดความสำคัญอย่างสิ้นเชิง
ผมรู้ว่าไม่ว่าจะทำอะไรหรือไม่ได้ทำอะไรในช่วงชีวิตนี้ ไม่ว่าการตัดสินใจของผมจะถูก จะผิด หรือก้ำกึ่งอยู่ระหว่างผิดกับถูก สิ่งทั้งหลายยังคงดำเนินต่อไปอีกนานแสนนาน หลังจากที่ผมจากโลกนี้ไปแล้ว…
ชีวิตเป็นเรื่องมหัศจรรย์ เราคือผู้แต่งเรื่องราวของตัวเองที่เขียนให้มันเป็นไปในทิศทางใดก็ได้”