#ReadersGarden เล่มที่ 17
หากคุณอยากจะเปลี่ยนแปลงชีวิต หรือกำลังเปลี่ยนแปลงอยู่แต่เริ่มท้อ หนังสือ You Are a Badass หรือ อยากทำก็ทำ! อย่าให้คำพูดคนฆ่าคุณ เป็นแรงผลักดันที่ดีทีเดียว
ทุกถ้อยคำในหนังสือเปรียบเสมือนเสียงให้กำลังใจจากเพื่อนสนิท ไม่ใช่เพื่อนสนิทผู้อ่อนโยนที่จับมือคุณแล้วบอกว่า ‘สู้ๆ นะ’ แต่เป็นเพื่อนประเภทที่หากชีวิตรักของคุณล้มเหลว ก็จะตะโกนใส่เราว่า ‘ฉันเตือนเธอแล้วใช่มั้ย!’ หรือถ้าคุณไม่กล้าไล่ตามฝันเพราะกลัวความล้มเหลว เพื่อนสนิทคนนี้จะคอยบ่นๆๆ จนกว่าเราจะลุกขึ้นมาทำเพื่อตัวเองสักที จนเราคิดในใจ ‘แล้วแกจะแรงเพื่อ (แต่ก็จริงของเขา)’
นั่นเป็นสิ่งที่ซิสชอบในหนังสือเล่มนี้ ไม่อ่อนโยน พูดตรง ตามสไตล์นักเขียนสาวห้าวอย่างคุณเจน ซินเชโร่ (Jen Sincero) นักพูดสร้างแรงบันดาลใจ ที่ปรึกษา และนักเขียนขายดีของ The New York Times โดยเล่มนี้เล่าถึง 27 วิธีคิดสร้างความมั่นใจให้เรากล้าลงมือทำสิ่งที่อยากทำ ไม่ให้คำพูดของคนอื่นมาฉุดรั้งไว้ เนื้อหาส่วนมากเป็นเรื่องที่พวกเราต่างรู้กันดีอยู่แล้ว เช่น
“ถ้าอยากมีชีวิตแบบที่คุณไม่เคยมี คุณก็ต้องทำสิ่งที่ไม่เคยทำ”
Basic rule ถ้างั้นจะมีประโยชน์อะไรจากการอ่านสิ่งที่เรารู้อยู่แล้วล่ะ? อย่างที่กล่าวไปว่าหนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนเพื่อนสนิท หรือเป็นเจ้าจิ้งหรีดเจมินี จิตสำนึกของพินอคคิโอที่คอยย้ำเตือนเวลาที่เราหลงลืมเรื่องพื้นฐานเหล่านี้ไป หรือสูญเสียความมั่นใจไปเพราะคนอื่น มีคำคมดีๆ ที่ไม่ได้แค่พูดเท่ๆ อย่างเดียว แต่ใช้เรียกพลังได้
หนังสือแบ่งออกเป็น 5 บท เริ่มจากสำรวจตัวเองว่าปัจจุบันเราเป็นคนยังไง อยากมีชีวิตแบบไหน จากนั้นเป็นวิธีการยอมรับตัวเองอย่างแท้จริงเพื่อสร้างความมั่นใจ ให้เรากล้าใช้ชีวิตอย่างที่อยากเป็น ถัดมาเป็นเรียนรู้การใช้ประโยชน์จากพลังงานรอบข้าง ก้าวข้ามผ่านเรื่องงี่เง่าในชีวิต และสุดท้ายคือการใช้ชีวิตเท่ๆ โดยคำว่า ‘เท่’ คือการใช้ชีวิตแบบที่เราอยากเป็นโดยไม่ต้องแคร์สายตาใคร และไม่ทำให้ใครเดือดร้อน
ขอเลือก 5 วิธีคิดที่ชอบที่สุดจากหนังสือมาฝากกันค่ะ
1. ทำตัวเป็นมนุษย์ต่างดาว
เคยสงสัยมั้ยว่า “เรามาทำอะไรบนโลกใบนี้?” ในวันที่หม่นหมอง เราอาจสงสัยว่า “ฉันมีความหมายยังไงกับโลก” เชื่อเถอะว่าเราทุกคนล้วนเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์เฉพาะตัวเพื่อแบ่งปันกับโลก คำว่า ‘พรสวรรค์’ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นสิ่งที่เราเก่งที่สุด แต่หมายถึงสิ่งที่เราทำได้ดีและมีความสุขที่ได้ทำ อาจเรียกว่า ‘แพชชั่น’ (Passion) หรือ ‘จุดมุ่งหมาย’ (Purpose) ของชีวิตก็ได้
เมื่อเรารู้ว่าพรสวรรค์ของตัวเองคืออะไรและตัดสินใจนำมันมาใช้ ความสนุกที่แท้จริงก็เริ่มขึ้น!
ถ้ายังค้นหาพรสวรรค์ของตัวเองอยู่ให้ลองจินตนาการว่า เราคือมนุษย์ต่างดาวที่มายังโลกมนุษย์ เข้ามาอยู่ในร่างกายของเราตอนนี้ ทุกอย่างเป็นของใหม่ มองไปรอบตัวแล้วเห็นอะไรบ้าง คนที่เรากำลังสิงร่างอยู่เก่งเรื่องไหนอย่างชัดเจน สนุกกับการทำอะไรมากที่สุด มีสายสัมพันธ์แบบไหน มีทรัพยากรและโอกาสใดอยู่ในมือบ้าง
วิธีนี้ทำให้ซิสนึกถึงการ์ตูนแนวเกิดใหม่ที่กำลังฮิต ตัวเอกที่ทะลุเข้ามาในนิยายเรื่องโปรดแล้วมาสิงร่างของตัวละครหนึ่ง ซึ่งตัวเอกมักจะใช้ชีวิตได้เต็มที่และคุ้มค่ากว่าตอนอยู่โลกเดิม เพราะทุกอย่างเป็นของใหม่ที่น่าตื่นเต้นไปซะหมด ไม่มีอะไรต้องเสี่ยง ไม่มีอดีตให้กังวล ใช้ร่างกายใหม่ที่ได้รับมานี้สร้างสิ่งที่ยอดเยี่ยมต่างๆ ขึ้นมา
2. งานที่เสร็จสิ้นย่อมดีกว่างานที่สมบูรณ์แบบ
อุปสรรคของ Perfectionist คือการลงมือทำงานให้เสร็จ เพราะอยากให้งานออกมาสมบูรณ์แบบที่สุดจนบางครั้งก็เสียเวลาวางแผนจนไม่ได้ลงมือทำ หรือลงมือทำแล้วแก้ใหม่จนไม่มีชิ้นงานออกมาสักที
แทนที่จะเสียเวลาเป็นสัปดาห์ เป็นเดือน เป็นปีเพื่อการพยายามวางแผนการอันไร้ที่ติ ลองลงมือทำอะไรสักอย่างไปเลย ไม่ได้หมายความว่าเราควรลุยโลดโดยไม่มีแผนนะ แต่ถ้าเริ่มรู้ตัวว่าฉันกำลังเสียเวลากับการวางแผนนานเกินไปแล้ว ให้กำหนดเส้นตายขึ้นมา เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้คิดว่าแผนมันยังดีได้มากกว่านี้ ก็ต้องเริ่มลงมือทำแล้วค่อยปรับเปลี่ยนระหว่างนั้นก็ได้
ความเปลี่ยนแปลงจะเริ่มปรากฎให้เห็นเมื่อลงมือทำ ไม่ใช่ตอนที่คิดอยู่เฉยๆ
3. สุดท้ายแล้วคุณจะไม่นึกถึงเรื่องนี้ด้วยซำ้
ว่าด้วยเรื่องการจัดการความคิดแง่ลบของตัวเอง เช่น เวลาที่คุณโกรธมากๆ เศร้าสุดๆ หรือรู้สึกอับอายขายหน้าซะจนไม่อยากจะเจอหน้าใคร มันเป็นเรื่องปกติมากๆ ที่คนเราจะเจอวันที่แย่ๆ แต่อย่าให้ความรู้สึกเหล่านั้นมาฉุดไม่ให้เราใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการได้
ลองนึกถึงใครสักคนที่ทำให้เราโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเมื่อ 3 ปีก่อนดูสิ นึกออกทันทีเลยมั้ย เผลอๆ จำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ มีแนวโน้มว่าเรื่องแย่ๆ เหล่านี้จะกลายเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยหลังจากนั้นไม่นาน (แน่นอนว่ามันขึ้นอยู่กับระดับความหนักหนาสาหัสด้วย) ถ้ามันเป็นเรื่องที่ลึกๆ เรารู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่และไม่มีประโยชน์ ให้พยายามมองข้ามไปเถอะ เพราะท้ายที่สุดแล้วคุณจะไม่กลับมานึกถึงเรื่องเหล่านั้นเองด้วยซ้ำ
4. คุณเป็นในสิ่งที่คุณคิด
นี่เป็นวิธีคิดที่ซิสได้ยินมาจากเพื่อนหลายๆ คน รวมถึงคนที่ประสบความสำเร็จมากมาย เชื่อว่าเป็นวิธีที่ดีจริงๆ ค่ะ
“ความคิดและความเชื่อคือสิ่งที่ควบคุมสภาพความเป็นจริงของเรา”
ถ้าเราอยากได้ อยากเป็นอะไร เร่ิมจากเชื่อก่อนว่าเราสามารถทำสิ่งนั้นได้ เพราะถ้าเราไม่เชื่อในตัวเองตั้งแต่แรก เราก็คงไม่ลุกออกไปลงมือทำมันด้วยซ้ำ นอกจากนี้ยิ่งเราเห็นภาพสิ่งที่ต้องการชัดมากเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสที่จะสำเร็จมากขึ้น
ตัวอย่างเช่น หากคุณอยากมีบ้าน ควรนึกถึงว่าอยากได้บ้านแบบไหน? บ้านเดี่ยว คอนโด ลักษณะยังไง? ตั้งอยู่ที่ไหน? ราคาเท่าไหร่? จะตกแต่งยังไง? ถ้าเราได้อยู่ในบ้านหลังนั้นแล้วจะรู้สึกยังไง? ยิ่งรายละเอียดชัดเจน เราย่ิงมีความมุ่งมั่นและหาหนทางในการได้บ้านหลังนั้นมาได้ ในทางตรงกันข้าม หากคุณแค่คิดลอยๆ ว่าอยากมีบ้าน แต่ไม่มีรายละเอียดและคิดว่าคงทำไม่ได้ คุณคงไม่พยายามหาวิธีที่จะได้บ้านมาด้วยซ้ำ
5. ดื่มด่ำกับสิ่งที่รักให้ชุ่มปอดในระหว่างที่ยังมีโอกาส
ในระหว่างที่เรากำลังใช้ชีวิตไล่ตามฝัน ทำสิ่งที่รัก เราอาจเผลอมองข้ามสิ่งมีชีวิตที่เรารักไป คุณเจนเล่าว่าทั้งคุณพ่อและเจ้าเหมียวที่ชราของเธอเป็นเครื่องเตือนใจชั้นยอดว่า เมื่อเป็นเรื่องของสิ่งที่มีชีวิตที่เรารัก ของที่เรารัก และชีวิตที่เรารัก จงดื่มด่ำกับความรักนั้นให้ชุ่มปอดชุ่มใจตั้งแต่ตอนนี้ อย่าเสียเวลาไปเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างอคติหรืออีโก้ อย่ารอให้ยุ่งน้อยลง รวยกว่านี้ พร้อมกว่านี้แล้วค่อยทำ เพราะคุณจะไม่มีวันย้อนวัยกลับมาตอนนี้ได้อีกแล้ว อย่าพลาดโอกาสที่จะมีความสุขกับคนที่รักในตอนที่ยังมีโอกาส
“There’s always work, and there’ll always be work. What’s rare is finding someone who makes us happy”
– Dr. Spencer Reid, Criminal Mind
ซื้อหนังสือ You Are a Badass อยากทำก็ทำ! อย่าให้คำพูดคนฆ่าคุณ : นายอินทร์, Kinokuniya
สุดท้ายแล้วเวลาของเรามีจำกัด ทำไมไม่เพลิดเพลินไปกับการเดินทางนี้แทนที่จะแค่ทนมันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจบลงล่ะ