#ReadersGarden เล่มที่ 36
คุณเคยรู้สึกโชคร้ายบ้างหรือเปล่า? เงินหมด ตกงาน รถเสีย แฟนทิ้ง ทำงานพลาด รถเมล์มาช้า รถไฟฟ้าเสียและอีกสารพัดความเฮงซวยที่เมื่อเกิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้ว เรื่องโชคร้ายอื่นๆ จะเกิดขึ้นตามมาติดๆ หรือว่าเราจะใช้แต้มบุญจนหมดแล้วนะ
อย่าเพิ่งน้อยใจไปว่าพระเจ้าเกลียดอะไรเรา วันนี้ซิสนำ 5 วิธีเรียกโชคดีจากหนังสือใครมีความสุขคนนั้นชนะ – 55 วิธีเรียกโชคดีให้เข้ามาหาตัวคุณมาฝากกันค่ะ เขียนโดยอาจารย์อุเอะนิชิ อากิระ ที่ปรึกษาด้านจิตวิทยาชื่อดังของญี่ปุ่น โดยการเรียกโชคดีเท่ากับการเรียกความสุขเข้ามาหาตัว
โชคดีหรือโชคร้าย? คุณเป็นคนตัดสินใจ
คุณคิดว่าโชคดีกับโชคร้ายมีอยู่จริงไหมคะ? หรือมันอยู่ที่มุมมองของเรา?
ยกตัวอย่างเช่น พนักงานสองคนทำงานผิดพลาดในวันแรกที่เริ่มโปรเจ็กต์สำคัญจนถูกหัวหน้าเรียกตักเตือน คนแรกรู้สึกแย่มากๆ พร่ำบ่นว่าทำไมถึงซวยขนาดนี้ ทำงานพลาดตั้งแต่วันแรกจนหวาดระแวงและไม่มีความสุขตลอดโปรเจ็กต์ ในขณะที่อีกคนมองว่าโชคดีแล้วที่ทำพลาดและถูกตักเตือนตั้งแต่เนิ่นๆ หากช้ากว่านี้อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ส่งผลกระทบหนักกว่าเดิมได้ ได้บทเรียนเพื่อพัฒนาตัวเองด้วย รู้สึกโชคดีที่ได้ประสบการณ์และเติบโตขึ้น
นี่คือใจความสำคัญของหนังสือเล่มนี้ค่ะ ชีวิตเราเจอเรื่องโชคดีหรือโชคร้ายขึ้นอยู่ที่มุมของเราเอง คนสองคนเจอเหตุการณ์เดียวกัน คนหนึ่งมองว่าเป็นโชคร้าย อีกคนอาจมองว่าเป็นโชคดีก็ได้ โดยอาจารย์อุเอะนิชิไม่ได้ต้องการให้เรามองโลกในแง่ดีไปซะหมดจนไร้สตินะ แต่เมื่อมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น อยากให้ตั้งสติและหาข้อดีเพื่อไม่ให้เราจมดิ่งอยู่ในความทุกข์
เมื่อรู้หัวใจของความโชคดีแล้ว มาดู 5 วิธีปรับมุมมองเพื่อเรียกโชคดีกันค่ะ
1. สร้างพื้นที่เรียกความสุข
ดังคำกล่าวที่ว่าความสุขของคนเรา 90% ขึ้นอยู่กับมุมมองของเรา อีก 10% ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมภายนอก ดังนั้นการสร้างสภาพแวดล้อมให้เป็นพื้นที่แห่งความสุขจึงสำคัญ
พื้นที่แห่งความสุขของแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน บางคนรู้สึกสบายใจในห้องที่เป็นระเบียบ บางคนสบายใจกับห้องที่รกหน่อยๆ จงลงทุนตกแต่งห้องที่คุณใช้ประจำตามที่ชอบ ในทางตรงกันข้ามจงกำจัดสิ่งที่ไม่ชอบทิ้งไปโดยไม่ต้องเกรงใจ เช่น คุณอาจจะได้ภาพวาดจากเพื่อนร่วมงานมาเป็นของขวัญ แต่ไม่ชอบมันเอาซะเลย ไม่จำเป็นต้องฝืนใจเอามาตั้งไว้บนโต๊ะทำงานเพราะเห็นแก่ผู้ให้ อาจจะอ้างว่าเก็บไว้อย่างดีที่บ้านแล้ว
นอกจากสิ่งของแล้ว ยังรวมถึงผู้คนรอบข้างด้วย จงอยู่ห่างจากคนที่มีความคิดแง่ลบเพราะคนเหล่านี้มักจะพูดความคิดแง่ลบออกมา เช่น เหนื่อย ท้อแท้ เบื่องาน ทำไม่ได้หรอก หากคุณไม่ใช่คนที่จิตใจเข้มแข็งพอ ก็จะถูกคำพูดในแง่ลบเหล่านี้พลอยทำให้รู้สึกแย่ตามไปด้วย
สุดท้ายแล้วเมื่อเราสร้างพื้นที่แห่งความสบายใจขึ้นมาได้ สิ่งดีๆ จะเข้ามาหาเอง เช่น คุณ A สาวพนักงานบริษัทคนหนึ่งทุกข์ใจมากตอนเลิกกับแฟน เอาแต่ครุ่นคิดว่าเธอไม่ดีตรงไหน ช่วงที่เธอร้องไห้คิดถึงแฟนเก่าทุกวัน ไม่มีใครเข้ามาในชีวิตเธอเลย แต่พอวันหนึ่งเธอตัดสินใจได้ว่าต้องเลิกคิดถึงเรื่องนี้และก้าวต่อไป หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ได้พบรักครั้งใหม่ ซึ่งที่จริงแล้วเขาอาจจะไม่ใช่ผู้ชายคนแรกที่อยากเข้ามาทำความรู้จักเธอก็ได้ แต่เพราะก่อนหน้านี้เธอมัวแต่สนใจแฟนเก่าจนไม่เหลือพื้นที่ว่างให้ใคร แต่พอกำจัดเรื่องที่ค้างคาหัวใจทิ้งไป ก็มีพื้นที่ว่างรับสิ่งใหม่
2. รักตัวเองแบบคนมีความสุข
ยิ่งคุณรักตัวเองมาเท่าไหร่ คุณจะยิ่งทุกข์กับเรื่องไร้สาระน้อยลงเท่านั้น การรักตัวเองมากที่สุดเป็นหัวใจสำคัญในการมีความสุข เพราะหากเราเอาใจผูกไว้ที่คนอื่นมากกว่าตัวเราเอง เราจะเสียการควบคุมความสุขในชีวิต เพราะเรายกอำนาจให้คนอื่นเป็นผู้ควบคุมความสุขของเรา และหากวันหนึ่งคนๆ นั้นเปลี่ยนแปลงไป เราเองที่จะเป็นทุกข์
การรักตัวเองได้เริ่มจากเรื่องง่ายๆ คือมีความสุขในแบบที่ตัวเองเป็นอยู่หรือแบบที่เราอยากเป็น เราชอบคำเปรียบเปรยในหนังสือเล่มนี้ว่า “หากเราต้องวาดภาพบนกระดาษสี แต่เราเลือกสีที่เราไม่ชอบมาตั้งแต่ต้น ต่อให้เราตั้งใจวาดภาพให้สวยแค่ไหน ก็ยากที่เราจะชอบภาพนั้นอยู่ดี เพราะเราดันเลือกสีที่ไม่ชอบมาตั้งแต่แรก”
ก็เหมือนกับตัวของเราเอง หากเราไม่พอใจในรูปลักษณ์ภายนอกหรือคุณค่าภายในของเราตั้งแต่แรก เช่น ไม่ชอบที่จมูกฉันแบน, เกลียดรูปร่างตัวเอง, ไม่ชอบที่เรียนไม่เก่ง ฯลฯ ต่อให้วันนี้เราออกไปทำเรื่องดีๆ มากแค่ไหน เราก็ยังไม่มีความสุขอยู่ดี
ดังนั้นจงรักในสิ่งที่ตัวเองเป็น หรือทำตัวเองให้เป็นในสิ่งที่เราอยากเป็น เช่น เราจะมีความสุขถ้าเรารูปร่างดีกว่านี้ ถ้างั้นก็เริ่มออกกำลังกายหรือคุมอาหารสิ ถ้าเราไม่ชอบที่เรียนไม่เก่ง ก็เริ่มจัดตารางอ่านหนังสือ หรือข้อคำแนะนำจากอาจารย์มากขึ้น เป็นต้น
หยุดต่อว่าและน้อยใจตัวเองแต่เปลี่ยนเป็นลงมือทำสิ่งที่อยากทำแทน จดบันทึกการเติบโตของเราจะทำให้เรามองเห็นข้อดีในตัวเอง จงชื่นชมและขอบคุณตัวเองที่พยายามได้ดีในทุกวัน
3. ดึงตัวเองให้แจ่มใสอยู่เสมอ
หลายคนจำไม่ได้แล้วว่าได้หัวเราะสุดเสียงแบบไร้กังวล ไม่ต้องอายใครครั้งสุดท้ายตั้งแต่เมื่อไหร่ ยิ่งโตขึ้น ภาระและความรับผิดชอบยิ่งมากขึ้น จนเสียงหัวเราะของเราลดลง มาเอาตัวเราที่ร่าเริงแจ่มใสกลับมากัน
เริ่มจากรีบูทพลังงานด้วยการใช้เวลาอยู่คนเดียวบ้าง เช่น ไปร้านกาแฟหรือไปดูหนังคนเดียว การไปกับเพื่อนก็สนุกเหมือนกัน แต่เวลาไปคนเดียวคุณจะได้ปลดปล่อยอารมณ์และได้ใช้เวลาเอาใจใส่ตัวเองอย่างเต็มที่
ลองเขียนคำพูดวิเศษที่ช่วยให้รู้สึกร่าเริงลงไปในสมุดหรือบันทึกเป็นภาพหน้าจอมือถือ ทุกครั้งที่เหนื่อยหรือท้อให้เปิดดูเพื่อเป็นกำลังใจ เช่น คำพูดวิเศษของเราคือ “We’ll never be as young as we are now” – เราไม่มีทางกลับไปเป็นเด็กได้มากกว่าตอนนี้แล้ว ซึ่งมันทำให้รู้สึกว่าทุกนาทีมีค่า อย่าไปเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
อีกวิธีที่ตรงข้ามกันคือเขียนเรื่องที่ทำให้เราไม่สบายใจหรือสิ่งที่เกลียดลงในกระดาษ แล้วเอาไปเผาทิ้ง คุณจะสบายใจขึ้นอย่างแน่นอน วิธีนี้ไม่ใช่ไสยศาสตร์แต่อย่างใด แต่เป็นจิตวิทยาหนึ่งที่เหมือนว่าเราเอาความไม่สบายใจทุกอย่างใส่ไว้ในกระดาษอันนั้นและเผาทิ้งให้เรารู้สึกเหมือนว่าความไม่สบายใจนั้นได้มอดไหม้ไปแล้วแบบเห็นเป็นรูปธรรม
4. ค่อยๆ เติมความฝันของตัวเองให้เป็นจริงทีละนิด
คนเราทุกคนย่อมมีความฝัน ตั้งแต่เรื่องที่ทำได้ง่ายอย่างฝันอยากจะแต่งตัวด้วยชุดแฮรี่พอตเตอร์ไปเดินสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ดูสักครั้ง ไปจนถึงเรื่องที่ยากขึ้นอย่างเป็นนักบินอวกาศไปเหยียบดาวดวงใหม่คนแรกของโลก ไม่ว่าความฝันของเราจะเล็กหรือใหญ่แค่ไหน การที่เราเข้าใกล้ความฝันจะทำให้เรามีความสุขในทุกวัน ในทางกลับกันถ้าเราไม่มีวี่แววว่าความฝันนั้นจะเป็นจริงได้เลย ความท้อใจย่อมเกิดและเริ่มสงสัยในความสามารถของตัวเอง
วิธีที่จะช่วยให้คุณเข้าใกล้ความฝันมากขึ้นคือ เริ่มจากพูดความฝันของคุณออกมา หลายคนไม่กล้าพูดออกมาเพราะคิดว่าถ้าทำไม่สำเร็จจะเป็นเรื่องน่าอาย แต่หากคุณยอมพูดให้คนอื่นฟัง คุณอาจได้เจอคนที่มีประสบการณ์ที่ช่วยเหลือหรือให้คำแนะนำได้
นอกจากนั้นเริ่มที่ตัวเอง จงใช้แต่คำพูดเชิงบวกเพื่อให้กำลังใจตัวเอง หยุดนิสัยผัดวันประกันพรุ่ง และหากอยากทำอะไรให้สำเร็จ จงอดทนทำให้ได้ต่อเนื่อง 21 วันติด เช่น อยากเป็นคนตื่นเช้า ก็ให้ตั้งใจตื่นเช้าต่อเนื่องให้ได้ 21 วัน เพราะนั้นเป็นจำนวนวันโดยเฉลี่ยที่สร้างนิสัยให้เกิดขึ้น เมื่อทำได้ การตื่นเช้าจะไม่ใช่แค่ความพยายาม แต่จะกลายเป็นนิสัยของคุณโดยธรรมชาติ
5. เอาใจใส่รายละเอียดในชีวิตประจำวันของเรา
โดยโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในทุกวัน ทำให้เราต้องเร่งรีบตามจนหลงลืมความปราณีตในการใช้ชีวิต หลายๆ ครั้งเราตื่นมา รีบงับขนมปังปิ้งถูกๆ และวิ่งขึ้นบีทีเอสเพื่อไปทำงาน ซึ่งนั้นเป็นการเริ่มต้นวันแบบไม่มีความสุขเอาซะเลย
ลองดูใหม่ ให้คุณลองตื่นเช้าขึ้นอย่างน้อย 30 นาที ค่อยๆ ใช้เวลาอาบน้ำอย่างบรรจง เพลิดเพลินกับกลิ่นหอมของสบู่ ทานอาหารเช้าอร่อยๆ และเดินทางไปทำงานอย่างไม่รีบร้อน แค่นี้ก็เริ่มต้นวันใหม่อย่างมีความสุขได้แล้ว เมื่อเช้าของคุณเริ่มต้นดี วันทั้งวันก็มีแนวโน้มที่จะเจอแต่สิ่งดีๆ ด้วย
นอกจากนี้จงละทิ้งความรู้สึกผิดที่ต้องพูดว่าไม่ อย่าตอบรับทุกคำขอจนตัวเองต้องเดือดร้อน เมื่อเจอคนทำไม่ดีใส่ ให้คิดซะว่าคนเราย่อมมีข้อเสียกันทั้งนั้นแม้แต่เราเอง รวมถึงทำสิ่งดีๆ ให้คนอื่นโดยไม่คาดหวังสิ่งตอบแทน และที่สำคัญไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จงยิ้มแย้มอยู่เสมอ
ซื้อหนังสือ: นายอินทร์, SE-ED, Kinokuniya
วิธีส่วนใหญ่เราอาจพอทราบกันอยู่แล้วแหละ แต่ว่าการที่ได้มาซ้ำอีกรอบในหนังสือ เป็นการช่วยย้ำให้เรามองโลกในแง่ดีมากขึ้น และช่วยฉุดเราขึ้นมาจากความเศร้า ความเหนื่อยได้ แค่อ่านจบก็มีความสุขแล้ว